ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ณ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ วอชิงตันดีซี สหรัฐฯ
14 เมษายน 1993 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
ฉันรู้สึกท่วมท้นตื้นตันในความรักของท่าน และโปรแกรมการต้อนรับที่พวกท่านได้จัดขึ้น ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะต้องเดินทางและไม่ได้นอนพักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวัน แต่ในคืนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันได้รับพร และมีความปลื้มปีติอย่างมากที่ได้มาร่วมการชุมนุมกับพวกท่าน ฉันมั่นใจว่าเราจะได้รู้จักกันและกัน เหมือนอย่างที่เราเคยรู้จักกันมาแล้ว คืนนี้ไม่มีอะไรใหม่สำหรับพวกเราเลย แต่ขอให้เราได้เตือนใจกันและกันถึงสิ่งที่อาจจะลืมไป หรือสิ่งที่เราได้นำไปวางไว้ที่มุมอันห่างไกลแห่งจิตวิญญาณของเรา แล้วก็ไม่มีโอกาสไปเปิดดูมันอีกเลย สิ่งนั้นก็คือการรู้แจ้ง หรือธรรมชาติแห่งการรู้แจ้งของตัวตนอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ที่ฉันรู้สึกตื้นตันนั้นมิใช่เพราะความรักของพวกท่านเท่านั้น แต่เพราะฉันรู้อย่างชัดเจนว่า ฉันกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าบรรดาพุทธะ และพระเจ้าที่ปรากฏโฉมออกมา สิ่งนี้แหละที่นำน้ำตาแห่งความยินดีมาสู่หัวใจของฉัน
ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่ฉันนั่งอยู่กับคนจำนวนมากแล้วฉันจะรู้สึกตระหนักยินดีในเรื่องนี้เสมอไป แต่มันก็เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ และมันเป็นสิ่งที่งดงามมาก โดยเฉพาะบางโอกาสที่ฉันรู้สึกท้อถอย ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ฉันครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ ว่ามันเป็นสิ่งที่มีประ โยชน์จริงๆ หรือเปล่า แต่ในคืนนี้ฉันก็รู้สึกว่าฉันจะทำมันต่อไป ทั้งนี้ก็เพราะความรักของพวกท่านและปัญญาอันสูงส่งของพวกท่าน ฉันรู้ดีว่าฉันจะทำมันต่อไปได้แน่ นอน (คนปรบมือ) และในอนาคตอันใกล้นี้หากฉันได้รับความสำเร็จสามารถทำให้ผู้คนได้รับความสุข ได้ตระ หนักรู้ถึงพระเจ้า ในระหว่างที่เดินทางไปบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ นี้ ฉันก็จะระลึกถึงผู้คนที่วอชิงตันดีซี ขอบ คุณมากๆ (คนปรบมือ) คืนนี้ฉันต้องการสิ่งนี้จริงๆ มันเป็นสิ่งที่ดีมาก (คนปรบมือ)
การรู้แจ้งมีอยู่แล้ว รอให้ผู้ที่เป็นอาจารย์มาเปิดมันเท่านั้น
การรู้แจ้งนั้นมีอยู่ภายในตัวของเราอยู่แล้ว เพราะฉะ นั้น ไม่ว่าสิ่งใดที่เพื่อนประทับจิตของเราบอกว่ามาจากตัวฉัน ฉันก็ไม่ควรจะยอมรับเพราะว่ามันเป็นของพวกเธอทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความยิ่งใหญ่หรือพระพรซึ่งเธอได้รับในระหว่างที่เธอฝึกบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ หรือเธอค้นพบมันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก็ล้วนแต่เป็นของเธอ แต่เนื่องจากพี่ๆน้องๆ ที่มีจิตวิญญาณพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับสูง จะมีธรรมชาติของความถ่อมตนอยู่ภายใน พวกเขาจึงยกพลังมหัศจรรย์ต่างๆ และพลังพรทั้งหมดให้กับผู้ที่เป็นอาจารย์ ไม่ว่าอาจารย์ของเขาจะเป็นใครซึ่งอาจจะบังเอิญเข้ามาอยู่ร่วมหนทางเดียวกับเขา และได้ช่วยแสดงวิธีให้เขาได้ค้นพบตนเองอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากพวกเธอไม่ได้รู้แจ้งอยู่ก่อนแล้ว ถ้าธรรมชาติของเธอไม่ใช่พุทธะ ฉันก็ไม่มีวันจะทำให้เธอกลายเป็นพุทธะได้เลย ถ้าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในตัวเธอมาก่อนแล้ว ฉันก็ไม่มีวันแสดงพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวของเธอได้ ฉันไม่สามารถจะทำให้หินกลายเป็นเพชร ไม่ว่าฉันจะนั่งขัดถูมันนานสักเท่าไรก็ตาม เธอเข้าใจไหม!
เพราะฉะนั้น จากความถ่อมตนทั้งหมดของฉันๆ จึงอยากจะบอกให้พวกเธอทราบว่า พวกเธอนั้นมีความยิ่งใหญ่มาก พวกเธอคือมหาอาจารย์สูงสุดและเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีอะไรที่ฉันควรจะเอามาสอนเธอเพียงแต่จะช่วยชี้ให้เธอเห็นอัญมณีอันมีค่า ซึ่งเธอเก็บไว้ในกระเป๋าและเธอลืมมันไป เนื่องจากเธอมัวแต่วุ่นวายเที่ยวมองหามันที่อื่น บ่อยครั้งทีเดียวที่เธอทำแบบนั้นเธอเอาของใส่กระเป๋า เช่น แว่นตาของเธอ หรือเงินหรือสิ่งมีค่าอะไรก็ตาม แล้วเธอก็ลืมไปทั้งๆ ที่มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง (อาจารย์หัวเราะ) เธอเที่ยวมองหาค้นทั่วบ้านทุกซอกทุกมุมแต่ก็หาไม่เจอ เพราะฉะนั้นเธอจึงคิดว่าการแสวงหาทรัพย์สมบัติของเธอนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่าควรจะมองหาที่ไหนแค่นั้นเอง และอาจจะมีเพื่อนบางคนยืนอยู่ข้างๆ บอกเธอว่า "เฮ้! มันอยู่ในกระเป๋าของเธอไง" นี่แหละคืองานของผู้ที่เป็นอาจารย์ ดังนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ใครที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "อาจารย์" จากบรรดาลูกศิษย์ จริงๆ แล้วเขาก็เหมือนกับเรานั่นเอง เขาควรจะเป็นผู้ที่ถ่อมตนมากๆ มีคุณสมบัติความเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทุกประการ และเขาก็ไม่รู้ หรอกว่าตัวเองคืออาจารย์ แต่เนื่องจากบรรดาลูกศิษย์ได้รับประสบการณ์ จึงอ้างว่าเกิดจากอาจารย์ผู้นั้นเหมือนคำกล่าวที่ว่า "เมื่อเห็นผลที่ออกมาจากเธอก็รู้ได้ว่าเธอเป็นอะไร" แต่อย่างไรก็ตาม จะเป็น "อาจารย์" หรือ "ไม่ใช่อาจารย์" ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือเพื่อนที่มีประสบการณ์คนนั้น ซึ่งเราเรียกเขาว่าอาจารย์ จะต้องสามารถแสดงให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของตัวเรา แล้วเราก็สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้
ความแตกต่างระหว่างผู้รู้แจ้งและไม่รู้แจ้ง
ผู้ที่รู้แจ้งและผู้ที่ไม่รู้แจ้งนั้น มีความแตกต่างกันมากมาย ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีลักษณะคุณสมบัติต่างๆ เหมือนๆ กัน มีปัญญาระดับเดียวกันและมีความยิ่งใหญ่เท่าเทียมกัน ฉันไม่สามารถบอกเธอได้ว่าแตกต่างกันอย่างไร แต่ฉันรู้ว่ามันต่างกัน และลูกศิษย์ของเราหลายคนก็รู้สิ่งนี้หลังจากได้รับการประทับจิต ใช่ไหม? (ผู้ฟัง:ใช่) พวกเธอบางคนทราบดี แล้วหลังจากนั้นเธอก็ไปพูดคุยกับคนที่ยังไม่ได้รับการประทับจิต ยังไม่ได้ค้นพบคุณสมบัติบางส่วนของปัญญาของเขา ก็จะเห็นความแตกต่างกันอย่างมากมายระหว่างบุคคลทั้งสอง แม้ว่าลักษณะภายนอกจะไม่มีอะไรต่างกันเลยก็ตาม การรู้แจ้งจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นก้าวเข้ามาอยู่ในตัวบ้าน เพื่อที่ จะมาตรวจดูว่ามีสมบัติอะไรอยู่ภายในตัวบ้าน เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในตัวบ้านเขาก็พ้นจากความหนาวเย็น พ้นจากอันตราย จากสุนัขป่า เสือ และภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งหลายซึ่งอาจจะเกิด ขึ้นได้
มีความแตกต่างกันมาก เมื่อเราเข้ามาอยู่ในบ้านเราก็รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายใน ถ้าเรายังอยู่แถวๆ บริเวณประตูอย่างน้อยก็รู้ว่า การตกแต่งภายในเป็นอย่าง ไร และเมื่อเราก้าวเดินสำรวจจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง เราก็จะพบสมบัติพบเฟอร์นิ เจอร์และสิ่งมีค่าทั้งหมดที่อยู่ภายในบ้าน แล้วเราก็อาจไปบอกคนนอกบ้านว่าข้างในมีอะไร คนที่อยู่นอกบ้านเมื่อได้ฟังเรื่อง ราวแล้วก็อาจนำไปเล่าต่อให้คนอื่นฟังว่ามีอะไรอยู่ภายในตัวบ้าน แต่การนำไปเล่าต่อกับการได้เห็นได้สัมผัสจริงๆ นั้นมีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ การอยู่ภายในตัวบ้านยังได้รับประโยชน์ด้านความปลอดภัยจากอันตรายข้างนอกบ้านอีกด้วย
บางคนถามฉันว่า "ฉันก็โอเคแล้ว ฉันไม่ต้อง การรู้แจ้งหรอก รู้ไปทำไม? ถ้าไม่รู้แจ้งจะโอเคไหม?" ฉันก็ตอบว่า "ได้ๆ โอเค" (อาจารย์หัวเราะ) ก็ไม่มีทางเลือกนี่ แต่เวลาที่เราอยู่นอกบ้านบางครั้งก็ปลอดภัยบางครั้งก็มีแสงแดดแต่บางครั้งก็มีฝนตก บาง ครั้งอาจจะมีพายุใต้ฝุ่นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ และเมื่อเรารู้แล้วว่าเรามีบ้านเราก็อาจจะออกมานอกบ้านได้ในบางครั้ง แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นหรือเมื่อเราต้องการกลับเข้าบ้านเราก็กลับเข้าไปได้ มีสิ่งต่างๆ ที่น่าทึ่งน่ามหัศ- จรรย์มากมาย อยู่ในห้องของจิตวิญญาณของเรา ซึ่งทรัพย์สมบัติในโลกนี้ไม่สามารถจะเทียบเท่าได้ไม่มีอะไรในโลกที่จะทำให้เรามีความสุขได้ เท่ากับการที่เราได้ค้นพบความยิ่งใหญ่ที่แท้ จริงของเรา
ทุกๆ คนได้รับส่วนแบ่งของปัญญานี้
ยิ่งเราค้นพบว่าตัวเรามีความยิ่งใหญ่อย่างไร เราก็จะยิ่งถ่อมตัวมากขึ้น (อาจารย์หัวเราะ) เหมือนกับว่าเรื่องนี้มีความขัดแย้งอยู่ในตัว แต่เป็นเช่นนี้จริงๆ และเราจะกลายเป็นเหมือนเด็กๆ เราจะกลายเป็นบุคคลที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามาก นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็คล้ายๆ กับคนที่ซื่อๆ บริสุทธิ์ และดูเหมือนว่าเธอบอกอะไรเขาไป ไม่ว่าจะเป็นความสามารถของเธอ ความทะเยอทะยานของเธอ ความฉลาดหลักแหลมของเธอ หรือปริญญาของเธอ เขาก็จะไม่คัดค้านอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเขาจะพยายามเอาปัญญาของเขามาบังคับกดดันเธอ แต่สิ่งต่างๆ จะเป็นไปเองโดยธรรมชาติหรือเมื่อได้รับการร้องขอ และส่วนใหญ่แล้วหลังจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์พูดอะไรออกมาแล้ว เขาก็จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดไปอย่างสิ้นเชิง อาจจะจำได้เพียงประโยคหนึ่งหรือสองประโยคหรือจำไม่ได้เลย ทั้งนี้เพราะ ว่าปัญญานั้นมาจากแหล่งของจักรวาลซึ่งทุกๆ คนสามารถจะนำมาใช้ได้ มันไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มคนกลุ่มใด มันเป็นของผู้โง่เขลาเท่าๆ กับเป็นของผู้รู้แจ้ง เป็นของเด็กๆ เท่าๆ กับเป็นของผู้สูงอายุ ทุกคนมีส่วนแบ่งรวมอยู่ในปัญญานี้ เพียงแต่ว่าเราจำเป็นต้องปรารถนาที่จะรู้ถึงปัญญานี้อย่างแท้จริงเท่านั้น
เมื่อได้รู้ถึงปัญญานี้แล้ว เราก็ไม่ได้ละทิ้งโลก เราจะไม่ขาดความสนุกสนานของทางโลก แต่เรากลับจะมีความสุขกับโลกนี้มากขึ้นเมื่อมีโอกาส และถึงแม้จะไม่มีโอกาสเราก็มีความสุขเหมือนๆ กัน นี่แหละคือความแตกต่างมันแตกต่างกันเพียงเท่านี้ แต่เพราะว่าเราไม่รู้จักธรรมชาติที่รู้แจ้งของเรา เราก็คอยใฝ่หาอะไรบาง อย่างที่จะทำให้เรามีความสุข หรือเรามัวแต่คิดว่าสิ่งนั้นจะทำให้เราสุข ดังนั้นบางครั้งเราจึงมีความทะเยอทะ ยาน แสวงหาชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ ความสวยงามและความรักอันไม่จีรังยั่งยืน ฯลฯ โดยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสุข จนในที่สุดเราก็ตระหนักแน่ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ได้แต่นำความเศร้าโศกมาให้เราเป็นส่วนใหญ่
ต่อเมื่อเรารู้แจ้งเท่านั้น เราจึงจะมีความสุขในทุกๆ สิ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ยินดี ถ้ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น เราก็รับไว้เหมือนกับเป็นของขวัญจากพระเจ้า เราจะยินดีเต็มที่โดยไม่รู้สึกมีความผิด ไม่ต้องสงวนท่าที ไม่มีอะไรมาขวางกั้นไม่ว่าจะภายในหัวใจหรือในความคิดของเรา ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของบุคคลผู้รู้แจ้งนั้นเป็นอิสระมากไร้ซึ่งความกังวล ง่ายๆ เหมือนกับเด็กๆ ถ้าเธอให้อะไรดีๆ แก่เขา เขาก็จะรับไว้ เขาจะไม่คิดกังวลว่าเธอจะมาหลอกเขา หรือกังวลว่าเขาควรจะได้รับสิ่งนั้นหรือไม่ เขาเพียงแต่รับมันไว้เท่านั้น และเมื่อสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้เรามีความสะดวกสบายหรือมีความร่ำรวยในชีวิต เราก็ยังมีความสุขและดำเนินชีวิตแบบนั้นต่อไปได้ เราจะไม่ปรารถนาความยิ่งใหญ่ทางวัตถุ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พยายามทำอะไรให้สังคมเลย หรือไม่ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองของโลกอย่างดีที่สุด เรายังคงทำและทำทุกสิ่งทุกอย่างเช่นเดิม เราจะทำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเต็มใจทำส่วนของเราให้แก่โลกทั้งโลกอย่างเต็มที่ สิ่งทีต่างไปก็คือเราทำโดยไม่หวังรางวัลตอบแทน ไม่หวังในคำสรรเสริญ และถ้าเราล้มเหลวหรือมีคนเข้าใจผิดในความปรารถนาดีของเรา เราก็ทนได้ เราจะไม่มีความทุกข์ทรมานในหัวใจของเรา
ลูกศิษย์ของฉันหลายคน ฉันหมายถึงเพื่อนบำเพ็ญของเราหลายคน เล่าให้ฉันฟังว่าหลังจากรู้แจ้งแล้ว พวกเขาแตกต่างไปจากเดิมมากพวกเขารู้มากกว่าแต่ก่อน เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนและต่างไปจากสภาพที่เขาเคยเป็นอยู่ ฉันเองนั้นลืมไปแล้วว่าก่อนการรู้แจ้งและหลังการรู้แจ้งนั้นเป็นอย่างไรบางครั้งฉันรู้สึกว่ายากที่จะเข้าใจเรื่องที่พวกเขาพูดกัน (อาจารย์หัวเราะ)แต่แล้วฉันก็มีโอกาสเจอ และได้พูดคุยหรือได้อยู่ร่วมกับคนที่ไม่ได้รับการประทับจิต ถึงตอนนั้นฉันก็เลยเข้าใจเรื่องที่พวกเขาพูดกับฉัน จึงรู้ว่าผู้ที่รู้แจ้งและไม่รู้แจ้งนั้นต่างกันอย่างไร ที่พูดนี้ไม่ได้แบ่งแยกนะ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ เพียงแต่เป็นการอธิบายว่าความจริงเป็นอย่างไรเพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เอามาพูดกันด้วยความภาคภูมิใจ เป็นเพียงการตระหนักรู้ถึงความแตกต่าง ระหว่างคนที่ก้าวเข้ามาในตัวบ้านและคนที่อยู่นอกบ้าน
หนทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสุภาพบุรุษก็คือการรู้แจ้ง
ถ้าฉันไม่ได้มีโอกาสรู้จัก และเข้าใจกลุ่มคนที่มิได้รับการประทับจิตอย่างลึกซึ้งแท้จริง ฉันก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะปกติฉันมองทุกคนเหมือนกับเป็นตัวฉันเอง ฉันไม่ได้นึกว่าฉันรู้แจ้งหรือพวกเขาไม่รู้แจ้ง ฉันไม่ได้มาคอยจดจำเรื่องเหล่านี้เวลาฉันพบปะกับผู้คน และ นี่แหละคือเหตุผลที่บางครั้งนอกจากฉันจะรู้สึกท้อแท้ในการทำงานแล้ว ฉันยังรู้สึกอยู่ในใจว่าไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวสอนใคร ไม่จำเป็นต้องคอยวิ่งไปทั่วโลก ไม่จำเป็น ต้องตอบรับคำเชิญของลูกศิษย์ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก และต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับการอยู่บนเครื่องบิน เครื่อง บินที่มีการสูบบุหรี่ สนามบินที่มีคนเยอะแยะอะไรพวกนี้และยังมีกำหนดการวุ่นวาย ต้องทำโน่นทำนี่มากมายเพราะฉันเคยคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องพวกนี้ แต่พอฉันคิดทำนองนี้ บางครั้งพระเจ้าผู้ทรงอำนาจก็จะเตือนฉันว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น เพราะว่ามันมีความแตกต่างอย่างมาก ระหว่างการที่เธอรู้ว่าเธอมีสมบัติและสามารถใช้มันได้ กับเพียงแค่รู้ว่าเธอมีทรัพย์สมบัติแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนและจะใช้มันอย่างไร เป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นฉันจึงยังเดินทางไปทั่วโลกตามคำขอร้องที่จริงใจของบรร ดาลูกศิษย์ ทั้งนี้ก็เพราะตัวอย่างต่างๆ เหล่านี้ซึ่งทำให้ฉันทราบว่า บางคนยังไม่รู้ว่าตนเองยิ่งใหญ่และเขาเฝ้าคอยที่จะรู้
ไม่ใช่เพราะเราจะต้องการมีความภาคภูมิใจในความยิ่ง ใหญ่ของเรา แต่มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะรู้จักมรดกของเรา เราไม่ควรจะเป็นเพียงแค่เกิดมาในโลกนี้ มาใช้ชีวิตอยู่สักไม่กี่สิบปี ซึ่งต้องวุ่นวายกับปัญหาของลูกและครอบครัว แล้วในที่สุดก็ "คาพุท" จบสิ้นไป (คนหัวเราะ) ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ชีวิตไม่มีอะไรเพิ่ม และยิ่งเลวร้ายกว่านั้นอีก เวลาที่จะต้องจากโลกนี้ไปเราก็ยังต้องทุกข์ทรมาน เราทุกข์เพราะการยึดติดกับสมาชิกในครอบครัวของเรา เราทรมานก็เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหน ทุกข์เพราะกลัวในสิ่งที่เรายังไม่รู้ และคนในครอบครัวทั้งหมด หรือคนที่เรารักทั้งหลาย ก็ได้แต่ยืนอยู่รอบๆ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ได้แต่มองดูเราทุกข์ทรมาน
เพราะฉะนั้น หนทางอันยิ่งใหญ่ของสุภาพบุรุษก็คือการรู้แจ้ง เราต้องรู้ว่าเรามาจากไหนและเรากำลังจะไปไหนอย่างชัดแจ้งชัดเจน เพราะว่าเราคือมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เราใช้ชีวิตอย่างวีรบุรุษ เราดำเนินชีวิตแบบพระเจ้าบนโลกนี้ เราไม่ควรจะมีชีวิตเหมือนกับทาสของเงินทองข้าวของ หรือความอยากได้โน่นได้นี่ ซึ่งโลกได้พยายามเอามาติดไว้ในหัวของเรา เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความอยาก ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความเกลียด เราเกิดมาจากความบริสุทธิ์และความงาม เราจึงควรต้องคงไว้ในสภาพนั้น นอกจากจะบริสุทธิ์แล้วเรายังควรต้องฉลาดมากขึ้น นี่แหละคือหนทางของสุภาพบุรุษ
สิ่งที่พระเยซูและพระพุทธเจ้าสามารถทำได้ เราก็ทำได้ด้วย
ถ้าเรานับถือพระเยซู บูชาพระพุทธเจ้า ถ้าเราอยากจะกราบไหว้บูชาบรรดานักปราชญ์แห่งเทือกเขา หิมาลัยโบราณ เราก็ควรจะรู้ไว้ว่าเราสามารถเป็นได้เหมือนพวกท่าน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยระหว่างตัวเรากับนักปราชญ์ ต่างกันเพียงเส้นผมแค่เส้นเดียว น้อยมาก (อาจารย์หัวเราะ) และเมื่อเราก้าวข้ามไปได้เราก็จะอยู่ในกลุ่มของบรรดานักบุญ และถ้าเราอยู่ข้างหลังห่างไปเพียงเส้นผมเส้นเดียว เราก็เป็นบุคคลผู้โง่เขลา เที่ยวก้มหัวให้แก่ความกดดันทุกอย่างของโลกนี้ กลัวทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคน และไม่รู้ว่าชีวิตของเราก่อนหน้านี้รวมทั้งหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แม้ว่าเรามีตาแต่เราก็เหมือนคนตาบอด เรามีหูแต่ก็เหมือนคนหูหนวก ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้ยินคำสอนจากสวรรค์ ไม่ได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้รับรู้ความยิ่งใหญ่ของเรา เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากถ้าชีวิตของเรายังเป็นอยู่อย่างนั้น
เราอยากจะช่วยโลกเหลือเกิน อยากจะนำสันติ ภาพมาสู่โลก ทำให้โลกกลายเป็นสวรรค์ แต่เราจะทำได้อย่างไรถ้าเราไม่มีปัญญา จะทำได้อย่างไรถ้าเรายังไม่อยู่เหนือเกณฑ์เฉลี่ย เราจะไม่ให้หัวของเราเปียกได้อย่างไรถ้าเราไม่อยู่เหนือน้ำ ดังนั้น การรู้แจ้งจึงเป็นเครื่องมือสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้และชีวิตหน้า เราจะเดิน ทางท่องไปได้กว้างไกลในกาแล็กซี่ของจักรวาล ถ้าเรารู้สิ่งต่างๆ ซึ่งแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดในโลกก็ยังไม่รู้ นี่แหละคือความสามารถของมนุษย์ มนุษย์ที่แท้จริงไม่ใช่เป็นแค่เนื้อและกระดูกเท่านั้น สิ่งที่สา มารถเคลื่อนย้ายภูเขาได้หรือทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ได้นั้น มิ ใช่ลักษณะภายนอกที่ดูสวยงามหรือมีเสน่ห์ แต่เป็นแหล่งปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงพลานุภาพนั่นเอง สิ่งที่พระเยซูได้ทำไปแล้ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าเคยแสดงให้เราดูตอนที่ท่านยังอยู่ในโลกนั้น เป็นเพียงแค่เรื่องตลกเพราะสิ่งที่พระเยซูทำได้หรือที่พระพุทธเจ้าทำได้จริงๆ นั้นเหนือกว่าสิ่งนั้นทั้งหมด มันมีความยิ่งใหญ่กว่านั้นเป็นพันล้าน หมื่นล้านเท่าและเราก็สามารถทำได้
นี่แหละคือสิ่งที่ฉันได้ค้นพบและต้องการจะเตือนให้เธอจำได้ ในขณะที่เราสวดอธิษฐานเราก็มุ่งความสนใจของเราเข้าสู่ภายใน ไม่สนใจความสะดวกสบายหรือข้าวของทางวัตถุมากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทิ้งสิ่งเหล่านี้ เรายังคงอยู่ในบ้านหลังเดิม กินอาหารที่เราสามารถหามาได้ สวมเสื้อผ้าที่เราคิดว่าเหมาะสมแก่โอกาส แต่ความสนใจของเราไม่ได้อยู่ที่สิ่งเหล่านี้อีกต่อไป นี่แหละคือสิ่งสำคัญ ไม่ใช่ว่าสิ่งต่างๆ ทั้งหลายเป็นตัวขัดขวางความเป็นนักบุญของเรา แต่ความสนใจของเรานั่นแหละที่เป็นตัวกีดขวาง ดังนั้น เราจึงควรจะหันความสนใจเข้าสู่ภายใน แล้วเราก็จะรู้ทุกอย่างที่พระเยซูรู้ พระพุทธเจ้ารู้ และบรรดานักปราชญ์ทุกคนทั้งในอดีตและอนาคตรู้ เพราะธรรมชาติของเราเป็นอย่างนั้น
ก็เหมือนเธอเอาเพชรใส่ไว้ในกระเป๋าของเธอ ถ้าเธอเที่ยวมองหาไปทั่ว หรือแม้แต่เที่ยวมองหาไปทั่วโลกเธอก็ไม่มีวันพบมัน ไม่ใช่เฉพาะแต่มองหาที่บ้านของเธอเท่านั้น ต่อให้มองหาไปทั่วโลกเธอก็ไม่มีวันพบเพชรนั้น เพราะเธอไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน (อาจารย์หัวเราะ) ทั้งๆ ที่ตลอดเวลามันอยู่ในกระเป๋าของเธอ โลกไม่ควรจะอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ถ้าพวกเราทุกคนรู้แจ้ง หรืออย่างน้อยสักครึ่งหนึ่งของพวกเรารู้แจ้ง แต่จะยิ่งดีขึ้นถ้าพวกเราส่วนใหญ่รู้แจ้ง ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องสันติภาพ สันติภาพจะมาเอง ไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไรเพราะว่าเรามีปัญญาแล้ว "ปัญญาคือพระเจ้า พระเจ้าคือชุมพาบาลของฉัน ฉันจะไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว" พระเจ้าอยู่ภายในตัวของเรา สิ่งนี้ก็คือพลังอันทรงอานุภาพซึ่งหลับอยู่ข้างใน และเราสามารถจะปลุกให้มันตื่นขึ้นเมื่อใดก็ได้และก็ใช้ประโยชน์จากมันได้ อย่างน้อยก็เพื่อความพอใจของเรา
การรู้แจ้งนำความสุขมาสู่ชีวิต
ผู้ที่รู้แจ้งแล้วไม่เคยรู้จักการไม่พอใจ ไม่รู้จักความอยาก ไม่รู้จักการไม่มีความสุข อย่างน้อยก็เป็นอยู่ไม่นาน บางทีอาจจะเป็นในตอนเริ่มต้นบำเพ็ญใหม่ๆ ถ้าเรายังไม่ค่อยมั่นคงนักในอุปนิสัยของเรา สมองอาจจะยังเอาชนะได้อยู่ ดังนั้นบางครั้งเราอาจจะคิดอยากได้โน่นอยากได้นี่ แต่เราก็รู้ถึงความผิดพลาดของเราในทันที ไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่จะรู้แจ้ง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีความอยาก จึงไม่มีทางที่จะหยุดยั้งมันได้ ดังนั้น ความแตกต่างจึงเห็นได้ชัดเจนมาก
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉันพูดให้เธอฟังจากประสบการณ์ของฉันแต่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากรู้แจ้งแล้วเธอจะนั่งขัดสมาธิสวยงามอยู่บนโซฟาที่ไหนสักแห่งหนึ่ง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นสวรรค์ไม่ใช่อย่างนั้น เรายังจำเป็นต้องมีการให้และรับกรรมตามกฎของสาเหตุและการชดใช้การกระทำนั้นในขณะ ที่เรายังคงอยู่ในโลก แต่เราจะมีพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังเรา ไม่ว่าจะเกิดพายุฝนหรือใต้ฝุ่น เราก็จะมั่นคงปลอดภัยและได้รับความพอใจ เพราะเราทราบดีว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตนิรันดร์ อาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา แต่ไม่มีผลต่อตัวตนที่แท้จริงของเรา ถ้าเราต้องการร่างกายอีกร่างหนึ่งเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ นี่แหละคือความรู้สึกที่มั่นคงมากๆ ของผู้รู้แจ้ง คนที่รู้แจ้งจะทำสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่ากำลังทำอะไรเลย ถึงแม้ว่าทางด้านวัตถุภายนอกเขาได้ให้สิ่งต่างๆ ออกไปมากมายแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขาคือผู้ให้ เขาทนสิ่งต่างๆ มากมายแต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขากำลังอดทนอยู่ เขาอาจจะแสดงอารมณ์ของเขาออกมาเป็นบางโอกาสแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันผิด เพราะมันเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ดังนั้น หนทางของบุคคลผู้รู้แจ้งก็คือ อิสรภาพ คือความสุข และปัญญา นี่แหละคือชีวิตซึ่งพวกเราทุกคนควรจะจำได้เพราะว่านี่คือตัวตนจริงๆ ของเรา ไม่ใช่ชีวิตที่เราคิดว่าเป็นอย่างในปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง กังวลเรื่องค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ไม่ว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ทำให้เราเกิดความวุ่นวายได้ หลังจากเรารู้แจ้งเราก็ยังคงมีใบเสร็จเหล่านี้มาอยู่ดี (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ไม่ต้องสงสัยเลย พระเจ้าจะไม่เอามันไปจากเราเพราะว่ามันเป็นของเรา (อาจารย์หัวเราะ) แต่ทัศนคติและวิธีการเอาชนะสิ่งเหล่านี้จะแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เราจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายมีวิธีการที่ง่ายขึ้นในการจัดการกับข้อเรียกร้องต่างๆ จากรอบด้าน ถ้าเราแสวงหาปัญญาของเราอย่างแท้จริงฉันก็ให้สัญญาในเรื่องนี้ได้ เพราะฉันได้เรียนรู้เรื่องนี้มาแล้วด้วยตัวฉันเอง ไม่ได้เรียนจากหนังสือหรือจากครูคนไหน แต่มาจากประสบการณ์ของตัวฉันเอง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ฉันเล่าให้เธอฟังนี่เป็นความจริงอย่างยิ่ง เป็นเรื่องส่วนตัวและไม่มีการคิดเงินเพราะ ว่ามันมาจากฉัน ฉันไม่ได้ยืมมาจากธนาคารจึงไม่จำเป็น ต้องมีดอกเบี้ย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วเธอก็จะได้ตระหนักในเรื่องเหล่านี้และเรื่องอื่นๆ อีกด้วยตัวของเธอเอง ขึ้นอยู่กับว่าเธอต้องการมากขนาดไหน เธอสามารถทำงานได้แค่ไหน และขึ้นกับพี่น้องร่วมจักรวาลของเธอเห็นว่าเหมาะที่จะมอบให้เธอหรือไม่ ขึ้นกับภารกิจในชีวิตของเธอ และตำแหน่งที่เธอมีอยู่ในโลกนี้ ในบางครั้ง เมื่อผู้ที่เป็นอาจารย์ได้ขึ้นมาถึงระดับของความเป็นอาจารย์พวกเขาเหล่านั้นก็เท่าเทียมกัน แม้กระนั้นก็ตาม เธอก็ยังคงเห็นความแตกต่างระหว่างอาจารย์ท่านหนึ่งกับอีกท่านหนึ่ง เธอจะสามารถเห็นความแตกต่างได้จากการสอนหรือการบรรยายของท่านจากความก้าวหน้าของลูกศิษย์ท่านหรือจากวิธีการที่ท่านอธิบายความเข้าใจเกี่ยวกับการตระหนักรู้ภายใน
เพราะฉะนั้น แม้แต่อาจารย์ด้วยกันเองก็ยังมีความแตก ต่างเล็กๆ น้อยๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีคุณสมบัติแตกต่างกัน แต่เกิดจากมีพื้นฐานต่างกันหรือตำแหน่งต่างกัน ถ้าอาจารย์ท่านหนึ่งสามารถนำสิ่งต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้มากท่านก็มีอยู่มาก ท่านสามารถดึงสิ่งต่างๆ จากภายในมาให้คนอื่นได้จำนวนมาก ในขณะที่อาจารย์อีกท่านหนึ่งอาจจะอยู่ในสภาพ แวดล้อมที่ต่างไปในยุคสมัยต่างไป ประเทศก็ต่างไป จึงจำเป็นต้องใช้คุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่น การพูดการอธิบายน้อยกว่าหรือมากกว่าท่านอื่นๆ ดังนั้น เราจึงมีคำสอนทางด้านศาสนาอยู่มากมายมีชื่อเรียกแตกต่างกัน หรืออยู่ในศาสนาต่างกันแต่ก็ชี้ไปยังสัจธรรมอันเดียวกัน
หลังจากการรู้แจ้งเราจะทราบเรื่องนี้อย่างแน่ชัดเราจะรู้ว่าหลักการสำคัญของทุกศาสนาคือสิ่งเดียวกัน เราจะรู้ว่าพวกท่านสอนอะไรในขณะที่พวกท่านสอนอะไรในขณะที่พวกท่านยังมีชีวิต หมายถึงศาสดาทั้งหลาย เราจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าและพระเยซูก็สอนธรรมวิถีกวนอิมเราจะทราบว่าสิ่งที่เล่าจื๊อกล่าวไว้ในเต๋าเต็กเก็งก็เกี่ยวกับธรรมวิถีกวนอิม เกี่ยวกับแสงและเสียงแห่งสวรรค์ ซึ่งช่วยยกพวกเราขึ้นเหนืออุดมคติทางโลก เหนือเรื่องจุกจิกต่างๆ ของสมองคอมพิวเตอร์ของเรา เพื่อให้เราได้พบกับระดับจิตที่สูงขึ้น แล้วเราก็จะรู้จักตัวเราเอง เราจะรู้จักพระเจ้า วันนี้ฉันมีความสุขมาก ฉันไม่ทราบว่าสิ่งที่ฉันพูดไปนี้จะเหมาะกับพวกเธอหรือเปล่า ฉันเอาแต่พูดๆๆ (อาจารย์หัวเราะและผู้ฟังปรบมือ) ฉันคิดว่าฉันควรจะหยุดพูดก่อนเธอจะได้ถามคำถามและฉันจะได้มีโอกาสอธิบายเพิ่มเติมได้ โอเคไหม? เอานะ? ขอบคุณมาก (คนปรบมือ)
ตอบคำถาม
ถาม: พระเยซูไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ท่านมีพลังที่จะติดต่อมาถึงคนที่มีความเชื่อในตัวท่านในขณะนี้ได้หรือไม่ เราสามารถมีอาจารย์สองคนในเวลาเดียวกันได้หรือไม่? คืออาจารย์ท่านหนึ่งอาจจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่อีกท่านหนึ่งยังคงอยู่ในโลกนี้แต่จะจากโลกนี้ไปในอนาคต
ตอบ: ได้ เรามีได้ ผู้ที่ได้พบกับบุคคลที่เป็นอาจารย์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ และในเวลาเดียวกันก็เป็นอาจารย์ภายในด้วยเป็นผู้ที่โชคดีมาก แต่ในขณะที่เธอพบกับอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่เธอก็ยังสามารถพบกับอาจารย์ที่จากไปแล้วได้ด้วย ถ้าเธอขึ้นไปถึงระดับที่พระเยซูอยู่ในตอนนี้เธอก็จะสามารถเห็นพระองค์ ลูกศิษย์ของเราหลายคนเห็นพระเยซู และหลายคนก็เห็นพระพุทธ เจ้า เป็นอย่างนั้นใช่ไหม? มีใครที่เป็นลูกศิษย์อยู่ที่นี่บ้างไหม...? จริงหรือเปล่า? จริงไหม? (เพื่อนบำเพ็ญตอบว่า: ใช่) โอ เขาตอบว่า"ใช่" อย่างไรก็ตาม บางครั้งชาวพุทธอาจจะเห็นพระเยซูหรือพระแม่มารี และบางครั้งชาวคริสต์ก็อาจเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระโมฮัมเหม็ดก็ได้
ถาม: ฉันจะกดความทะเยอทะยานของฉันซึ่งจะทำให้ฉันเกิดภาวะครอบงำจิตใจของฉันและรบกวนฉันอย่างมากนี้ได้อย่าง ไร?
ตอบ: เป็นเพราะเรายังไม่รู้แจ้งและธรรมชาติแห่งความทะเยอ ทะยานของเรานั้น อันที่จริงมันก็กระตุ้นให้มุ่งสู่การรู้แจ้งไม่มีอะไรอย่างอื่น ไม่ใช่ธรรมชาติซึ่งมีระดับต่ำๆ เพราะเรารู้อยู่ในจิตใต้สำนึกว่าเรายิ่งใหญ่กว่านี้ เราเคยเป็น "ประธานาธิบดีของจักรวาล" ดังนั้น จึงเป็นการยากที่จะคงตัวอยู่ในระดับต่ำๆ ในขณะที่เราอยู่บนโลกนี้เราจึงมีความโลภ มีความทะเยอ ทะยาน ดังนั้นหลังจากการรู้แจ้งแล้วเธอจะรู้วิธีจัดการกับความทะเยอ ทะยานของเธอ เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเธอและโลกนี้ ความทะเยอทะยานไม่ใช่สิ่งที่เลวอะไร ปัญหาก็คือวิธีการจัดการกับมัน ถ้าเราจัดการมันได้อย่างฉลาด จัดการด้วยปัญญามันก็จะเป็นประโยชน์มาก
ถาม: ความสุขคืออะไรและจะอยู่ได้นานแค่ไหน?
ตอบ: (อาจารย์หัวเราะ) พวกเธอทุกคนก็ทราบดีว่าความสุขทางโลกนี้เป็นอนิจจัง มันจะคงอยู่นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับบุคคลและสภาพแวดล้อม ความสุขที่แท้จริงซึ่งได้มาจากธรรมชาติที่แท้จริงของเรานั้นจะคงอยู่ตลอดไป นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากจะแนะนำให้กับเธอเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเธอแล้ว
ธรรมวิถีกวนอิมนำเราไปสู่ต้นตอของสิ่งต่างๆ ทั้งมวล
ถาม: ขั้นตอนการรู้แจ้งเป็นอย่างไร เทคนิคนี้สามารถนำเราไปสู่การรู้แจ้งระดับไหน?
ตอบ: มันจะนำเธอไปสู่ต้นตอของสิ่งต่างๆ ทั้งมวล เป็นที่ซึ่งเธอจากมาและเป็นที่ซึ่งทุกๆ สิ่งจะกลับไป ระหว่างระดับชั้นของโลกนี้มีระดับของจิตหรือระดับของความเป็นอยู่ทั้งหมด 5 ระดับ ถ้าเราได้ฝึกปฏิบัติวิธีแห่งแสงและเสียงจากสวรรค์ และได้รับการนำทางจากครูที่มีประสบการณ์มาแล้ว สามารถผ่านระดับชั้นที่ 5 นี้ไปได้เราก็จะไปถึงที่นั่นซึ่งเป็นบ้านของมหาอาจารย์ทั้งมวล อาจารย์ทุกท่านลงมาจากระดับนี้และเมื่อเสร็จภารกิจท่านก็กลับไปที่นั่น ในอนาคตเราก็จะลงมาช่วยสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถ้าหากเราปรารถนาที่จะกลับมายังโลกนี้ใหม่หรือโลกอื่นๆ ในจักรวาลก็ได้ ดังนั้น ขั้นแรกก็คือรับการประทับจิตแล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาเอง
ถาม: การไปหาพระเจ้านั้นมีอยู่หนทางเดียวก็คือรับการประทับจิตในแสงและเสียงใช่ไหม?
ตอบ: ใช่ นั่นคือการเดินทางช่วงสุดท้ายเธอยังคงมีหนทางอื่นอีกมาก แต่ถ้าเธอไปไม่ถึงที่นั่นเธอก็จะไม่ได้อยู่ที่นั่น ก็เหมือนกับประตูบ้าน ไม่ว่าเธอจะเดินทางจากถนนสายไหนถ้าเธอไม่ได้ผ่านประตูนั้น เธอก็เข้าไปในบ้านไม่ได้ใช่ไหม?เพราะฉะนั้น เราเริ่มต้นจากจุดนี้เลยเพราะว่าเราโชคดีมากกว่าคนอื่น
ถาม: การประทับจิตมีมากกว่าหนึ่งแบบใช่ไหม?
ตอบ: ไม่ใช่ๆ ภายนอกมีแบบเดียวแต่ภายในมีหลายแบบขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น ในเวลาที่มีการประทับจิตผู้ที่เป็นอาจารย์หรือตัวแทนของอาจารย์จะให้คำแนะนำเหมือนๆกัน แต่การประทับจิตไม่ได้มาจากคำแนะนำเหล่านี้ การประทับจิตมาจากภายในจากการตื่นขึ้นของธรรมชาติของเธอเอง แต่ถึงกระนั้นระดับชั้นก็ยังมีความแตกต่างกัน เพราะฉะ นั้นคนสองคนที่นั่งอยู่ในที่เดียวกัน หรือนั่งติดกันก็อาจจะมีระดับชั้นต่างกันอย่างมากมายได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นอาจารย์จะสอนแต่ละคนแตกต่างกัน โดยสอนจากภายในและมีแต่เพียงบุคคลนั้นเท่านั้นที่ทราบ เขาจะรู้อยู่ภายในว่าอาจารย์สอนอะไรเขาและประสบการณ์ของเขาจะต่างไปจากภรรยาของเขา หรือลูก สามี พี่ชาย ฯลฯ เพราะฉะนั้น ถ้าเธออยากจะเรียกว่าเป็นการประทับจิตหลายแบบต่างกันก็ได้ถ้าเธอต้องการ แต่ฉันจะใช้คำว่า 'มันเป็นการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องไปของแต่ละคนที่แตกต่างกัน'
ถาม: ท่านอาจารย์ชิงไห่มีบางเวลาที่ฉันปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไม่มีตัวตนอยู่ กรุณาออกความเห็นในเรื่องนี้ด้วยถ้าท่านมีความเห็นอะไร
ตอบ: โอ ฉันก็เป็นแบบนั้น (อาจารย์หัวเราะ) ฉันก็อยากจะไม่มีตัวตนฉันจะได้ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องเป็น "อาจารย์" ผู้ยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ พวกนี้ แต่เนื่องจากเราเป็นของเราแบบนี้เราก็อยู่ต่อไป อยู่และดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเวลาเดียวกันเราก็ได้รับการรู้แจ้งไปด้วยเพื่อเราจะได้อยู่ในระดับที่มีตัวตนและระดับที่ไม่มีตัวตนไปพร้อมๆ กัน แต่ระดับที่ไม่มีตัวตนนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นความว่างเปล่านะ ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลยแต่เป็นชีวิตที่พร้อมมูลเต็มไปด้วยความสุกใส รุ่งโรจน์ ความสุข และพลังแห่งการสร้างสรรค์ เราจะมีความสุขกับชีวิตแบบนั้นมากกว่าชีวิตที่มีความเป็นอยู่ซึ่งเราเรียกว่าชีวิตมนุษย์นี้แต่เราอาจจะมีได้ทั้ง 2 อย่างในเวลาเดียวกันเป็นสิ่งที่วิเศษมาก วิเศษจริงๆ
ถาม: ลูกๆ ของฉันมีความสำคัญต่อฉันมาก หลังจากประทับจิตแล้วฉันยังคงรักเขาอยู่ได้หรือเปล่า? และไม่ใช่เพียงแค่อยู่ร่วมกับเขาเฉยๆ เท่านั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้างในแง่นี้?
ตอบ: โอ พระเจ้าช่วย (คนหัวเราะ) เธอกลายเป็นเด็กไปเสียแล้วลูกศิษย์ของฉันเขาทิ้งลูกๆ กันหรือ? เขาจัดการกับลูกๆ อย่างไรกัน? เธอจัดการกับลูกๆ อย่างไรหลังจากประทับจิต? เธอรักเขาได้หรือเปล่า? (ผู้ฟัง: รักเขามากยิ่งขึ้นอีก) เขาตอบว่าเขารักลูกมากกว่าแต่ก่อนอีก เพราะฉะนั้นเอก็จะปลอดภัยแน่! โอเคไหม? เก็บรักษาลูกๆ ของเธอไว้ไม่ต้องกังวล แน่ไม่อยากได้หรอก (อาจารย์หัวเราะและผู้ฟังปรบมือ)
ถาม: ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนทางจิตวิญญาณ (soulmate) หรือเปล่า? ถ้ามีจะมีความหมายสำคัญทางจิตวิญญาณอย่างไรสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?
ตอบ: เพื่อนทางจิตวิญญาณคือบุคคลซึ่งเมื่อเธอพบ เธอก็รู้สึกมีแรงดึงดูดเข้าหากันและกัน และเธอทั้ง 2 คนจะช่วยเสริมชีวิตของกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนทางของการบำเพ็ญ นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนทางจิตวิญญาณ แต่ในโลกซึ่งมีแต่หนึ่งไม่มีสองนี้มันไม่มีวิญญาณหรือไม่มีเพื่อนอะไรหรอก เป็นเพียงแต่คำพูดของทางโลกเท่านั้น เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เธอรู้สึกว่าเป็นบุคคลที่น่าสนใจมากสำหรับเธอ และสามารถช่วย เหลือเธอได้มากในกิจกรรมชีวิตประจำวันรวมทั้งด้านการบำเพ็ญ ผู้นั้นก็คือเพื่อนทางจิตวิญญาณของเธอ...ในขณะที่เธอยังอยู่ที่นี่ถ้าเธอต้องการเพื่อนอยู่ เข้าใจไหม?
อาจารย์ที่แท้จริงจะปลุกตัวตนภายในที่แท้จริงของเธอให้ตื่นขึ้น
ถาม: เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นอาจารย์แท้หรืออาจารย์เทียม?
ตอบ: โอ! เรื่องนี้ฉันไม่รู้ ฉันยังไม่เคยพบอาจารย์เทียมฉันพบแต่อาจารย์ที่แท้จริง แท้หรือเทียมขึ้นอยู่กับตัวเธอ มีอยู่หลายวิธีที่จะรู้ว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง เมื่อผู้ที่ได้ชื่อว่าอาจารย์ยึดติดอยู่กับเพียงบางส่วนของสัจธรรมและละทิ้งส่วนอื่นๆ ที่เหลือ และสอนลูกศิษย์เฉพาะส่วนนั้นเท่านั้นแบบนี้เราเรียกว่าอาจารย์เทียม แต่จริงๆ แล้วชื่อนี้ไม่ถูกต้องน่าจะเป็น "อาจารย์บางส่วน" มากกว่า หรือ "อาจารย์ไม่เต็มเวลา"(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ไม่ใช่เทียม และเมื่อผู้ใดสอนสัจธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ภายในตัวของเธอ และปลุกสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของเธอให้ตื่นขึ้นนี่แหละคืออาจารย์ที่แท้จริง ธรรมชาติที่แท้จริงของเธอคืออะไร? อาจารย์ที่แท้จริงภายในตัวเธอคืออะไร ก็คือพระเจ้า เป็นจิตศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอาศัยอยู่ภายในโบสถ์ของเธอ ในวัดของเธอ (หมายถึงร่างกาย) และเมื่อพระเจ้านั้นแสดงตนออกมา เราจะสามารถได้ยินคำสอนของท่านโดยอาศัยดนตรีแห่งสวรรค์ เราสามารถเห็นท่านด้วยภาพโดยการเห็นแสงสว่างอันเจิดจ้า บางครั้งเหมือนดวงอาทิตย์เป็นพันๆ ดวง นั่นแหละคือธรรมชาติที่แท้จริงของเรา เมื่อมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าอาจารย์คนไหนสามารถปลุกปัญญาแห่งสวรรค์ แรงสั่น สะเทือนแห่งสวรรค์และแสงแห่งสวรรค์ซึ่งอยู่ภายในตัวเธอ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของเธอเป็นอาจารย์ของเธอเอง อาจารย์ผู้นั้นก็คืออาจารย์ที่แท้จริงเราจะต้องรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเราเอง
ถาม: เกี่ยวกับข้อปฏิบัติห้าข้อ (ศีลห้า) ซึ่งจะต้องกระทำจึงจะได้รับการประทับจิตนั้น หากเราไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้น?
ตอบ: ถ้าเธอไม่ได้ปฏิบัติตามนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเธอไม่ได้ปฏิบัติฉันจะทำอะไรได้ ก็ลองพยายามดูใหม่ โอเค? ถ้าเธอคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเธอ ดีสำหรับผู้อื่นและเป็นเหมือนเกราะป้องกันความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณของเรา เราก็ปฏิบัติไปตามนั้น โอเค และอย่าทำให้ความบริสุทธิ์ของเธอซึ่งเพิ่งจะเติบโตขึ้นมาได้รับความเสียหายแต่ถ้าเธอไม่ปฏิบัติก็ไม่มีใครมาประณามเธอหรือทำอะไรเธอ ยกเว้นแต่จิตสำนึกของตัวเธอเอง เพราะฉะนั้นก็ลองพยายามดำเนินชีวิตให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ และถ้าเธอพลาดก็ลุกขึ้นและพยายามใหม่
ถาม: วิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดที่จะไปสู่การตระหนักรู้ในตนเอง และการตระหนักรู้ในพระเจ้าคือวิธีไหน?
ตอบ: วิธีนี้แหละ เขาไม่ได้เขียนไว้หรือ? "รู้แจ้งฉับพลัน" "ธรรมวิถีกวนอิม" นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด ง่ายที่สุด และเร็วที่สุด เธอจะรู้แจ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่มีข้อแม้ ในวันนี้หลังการบรรยายนี้เลย โอเค? และถ้าเธอไม่ได้รู้แจ้งทันทีก็ยินดีรับประกันเอาเงินคืนได้ (คนหัวเราะและปรบมือ) โอ แต่เดี๋ยวก่อน จริงๆ แล้วเราก็ไมมีการรับประกันคืนเงินหรอก เพราะเราไม่คิดเงินเลยแม้แต่เพนนีเดียว (คนหัวเราะและปรบมือ)
ถาม: เราจะป้องกันตัวเราจากความรุนแรงของธรรม ชาติ และความรุนแรงของมนุษย์ได้อย่างไร?
ตอบ: เราไม่จำเป็นต้องป้องกันตัวเราเลย เรามีอะไรที่น่าปกป้องนัก? ก่อนเธอจะเกิดมาเธอมีอะไร? หลังจากเธอตายไปแล้ว เธอจะเอาอะไรไปได้บ้าง? มีอะไรที่มีค่าเหลือเกินที่เราควรจะต้องปกป้องไว้หรือ? โยนทุกอย่างทิ้งไปให้หมด ปล่อยให้มันเป็นไปตามเรื่องจะมีอะไรเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิด ถ้าร่าง กายของเธอตายไปเน่าเปื่อยไป เธอก็ยังมีอีกหลายร่างหลายพันล้านร่างไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ถ้าของสิ่งใดควรจะต้องเป็นของเธอๆ จะไม่สามารถกำจัดมันด้วยซ้ำ ถ้าหญิงสาวคนนั้นควรจะต้องเป็นคู่หมั้นของเธอก็ไม่มีใครฉวยเธอเอาไปได้ ถ้างานนั้นจะต้องเป็นของเธอเป็นประกาศิตจากสวรรค์ก็ไม่มีใครมาแทนที่เธอได้ อย่าไปกังวลทำตัวตามสบายให้เรารู้แจ้งดีกว่า (คนปรบมือ) ความกลัวต่างๆ เหล่านี้ทำให้เราต้องอยู่ห่างจากชีวิตที่มีความสุขและชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความ รู้สึกผิดผิด ความขัดแย้ง การแสร้งทำทั้งหลายผุดขึ้นมาจากความกลัวของตัวตนนี้ ของตัวอัตตานี้ มันจะบอกว่าฉันมีสิ่งนี้ ฉันมีสิ่งนั้น ฉันเสียหน้าไม่ได้ ฉันทำสิ่งนั้นไม่ได้เพราะฉันอยู่ในตำแหน่งนี้ ฉันด่าคนไม่ได้เพราะว่าฉันเป็นอาจารย์ ฉันควรจะต้องทำตัวให้สง่างามพูดนุ่มๆ อ่อนโยน ฯลฯ ขอให้เหวี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปและทำตัวให้อยู่ในปัจจุบัน จำเป็นจะต้องทำอะไรตอนนั้นก็ทำอย่างเต็มที่ โดยมีความเชื่อมั่นในพระเจ้า มีความเชื่อในแผนการของจักรวาล เข้าใจไหม? (ผู้ฟัง: เข้าใจ) ถาม: ศาสนาคริสต์สอนเราว่าเราทุกคนเป็นบาป ถ้าเรารู้แจ้งแล้วเราจะยังเป็นคนบาปอยู่หรือไม่? ถ้ายังเป็น อยู่มันจะมีวันสิ้นสุดไหมการเป็นคนบาปของเรานี้น่ะ?
ตอบ: ใช่ เราเป็นคนบาปเพราะว่าเราเชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่มีวิธียกตัวเราเองขึ้นมาเหนือระดับของความบาป เหนือโคลนตม ถ้าเธออยู่ในโคลนแน่นอน เธอก็ต้องดูสกปรกไม่ใช่หรือ? ถ้าเธอขึ้นมาโคลนจะทำอะไรเธอได้ ไม่ว่าโคลนจะยังคงอยู่ที่เดิมหรือไม่ก็ตาม เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นเอต้องขึ้นมา ต้องรู้แจ้ง (คนปรบมือ)
ถาม: มนุษย์ที่รู้แจ้งแล้วและอยู่ในสังคมที่มีความขัด แย้งจะสามารถช่วยขจัดความขัดแย้งในสังคมได้อย่างไรกัน?
ตอบ: เป็นเรื่องที่ยากมาก เราทำได้เพียงแค่ขจัดความขัดแย้งภายในตัวเราออกไป ถ้าทุกคนทำเช่นนั้นก็จะไม่มีความขัดแย้งที่ต้องขจัด ดังนั้น แม้ว่าพระเยซูจะยิ่งใหญ่มาก พระพุทธเจ้าก็ทรงยิ่งใหญ่มาก แต่ท่านเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถขจัดความขัดแย้งในประเทศของท่านได้เลยและบางครั้งภัยพิบัติก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตของท่านด้วยซ้ำ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ในโลกยังไม่อยู่ในความสงบสุข ยังไม่รู้แจ้ง ดังนั้น การรู้แจ้งจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะใช้สำหรับความป่วยไข้ทุกชนิดของโลกนี้ สำหรับสงครามและความขัดแย้ง ไม่มีอะไรที่จะเป็นนอกเหนือจากนี้
ธรรมชาติที่แท้จริงไม่ได้อยู่กับสิ่งใด ฝุ่นไม่มีทางจะเกาะมันได้
ถาม: ฉันได้ยินหลายคนกล่าวว่า เมื่อท่านรู้แจ้งแล้ว ท่านควรจะต้องโกนผมและไม่แต่งหน้า (คนหัวเราะ) ท่านคิดอย่างไรกับคำกล่าวหรือคำวิจารณ์นี้?
ตอบ: พวกเธอคิดอย่างไรล่ะ ถูกต้องไหม? (ผู้ฟัง:ไม่ถูก) ไม่ถูก พวกเขาบอกว่าไม่ถูก (คนหัวเราะและปรบมือ) ฉันจะให้เธอได้เกรด A (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แจ๋วมาก เยี่ยมมาก ฉันชอบ เป็นสิ่งที่งดงามมากพวกเธอยังมีใจเปิดกว้างมาก รู้แจ้งมาก อย่างน้อยก็มากระดับหนึ่ง ถ้าความสนใจของเธอยังยึดติดอยู่กับสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มีก็ตามเธอก็ขัดขวางตัวเธอเอง จริงไหม? ธรรมชาติของเธอไม่ได้ยึดอยู่กับสิ่งใด ไม่มีฝุ่นที่ไหนจะมาจับธรรมชาติของเธอได้ โอเค? ไม่มีเครื่องสำอางอะไรจะมาบดบังธรรมชาติแห่งพุทธะของเธอได้ ไม่มีลิปสติกที่ไหนจะมาทำให้แสงแห่งสวรรค์พร่ามัวได้ ถ้าเธอมีตาเธอจะเห็นว่าตอนนี้ฉันมีแสงเปล่งออกมา แม้ว่าฉันจะเอาถ่านทั้งกล่องมาทาหน้าของฉันทำให้ตัวฉันดำไป ฉันยังคงขาวและสว่างเจิดจ้า (คนปรบมือ)
เพราะฉะนั้นถ้าเธอโกนหัวของเธอๆ จะรู้แจ้งอย่างนั้นหรือ เป็นอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมเธอไม่ทำล่ะมันง่ายจะตายไป (คนหัวเราะ) เธอก็ทำแบบนั้นให้หมดทุกคนเลย สตีฟ! ผมของเธอยาวเกินไปสำหรับการรู้แจ้งแล้ว (คนหัวเราะและปรบมือ)พระเจ้าไม่สนหรอกว่าผมของเธอจะยาวหรือสั้น เหลวไหล (คนหัวเราะ) มิฉะนั้นแล้ว พวกนางงามจักรวาลทั้งหลายก็คงจะรู้แจ้งไม่ได้สิ อย่างนั้นหรือ? (อาจารย์หัวเราะ) ถ้าเราพูดแบบนั้นไป พวกร้านตัดผมทั้งหลาย ร้านเสริมสวยทั้งหลายก็ต้องปิดกิจการแน่ เราก็จะทำให้เกิดภาวะว่างงานมากยิ่งขึ้นไปใหญ่ (คนหัวเราะ) โอๆ ถ้าฉันเทศน์สอนแบบนั้นคุณคลินตันคงไม่มีความสุขแน่ (คนหัวเราะ) เขาคงไม่อนุญาตให้ฉันเข้ามาเทศน์สอนในอเมริกาแน่
ถาม: อัตตาเป็นพลังที่แข็งแรงมาก เราจะชนะอัตตาได้อย่างไร?
ตอบ: โดยการรู้แจ้ง อัตตาคือ การเอาความสนใจมายึดติดกับตัวตนที่เล็กๆ เช่น "โอ! ฉันเป็นหมอ ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ ฉันเป็นครู ฉันเป็นคนโน้นคนนี้ ซึ่งมีตำแหน่งสูงๆ" นั่นแหละคืออัตตา แต่เมื่อเรารู้จักตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อัตตาก็จะหลบหายไปข้างใน เพราะว่าเราไม่ได้เป็นแค่หมอ เราเป็นพระเจ้าหรืออย่างน้อยก็เป็นลูกๆ ของพระเจ้า เราเป็นพุทธะ โอเค? นี่แหละคือวิธีเดียวที่จะหลอมละลายอัตตาโดยใช้กรอบของตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
ถาม: แหล่งต้นตอของโลกนี้คืออะไร
ตอบ: อืมม (อาจารย์หัวเราะ) มันต้องใช้เวลาที่จะวิจัยเรื่องนี้ จริงไหม? ทำไมเธอไม่ใช้ชีวิตของวันนี้ ให้เรารู้แจ้งแล้วเราก็จะเห็นด้วยตัวเราเอง เพราะถ้าฉันบอกเธอจะต้องใช้เวลานานมาก เธอก็รู้ว่าโลกของเรานี้ถ้าพูดตามหลักภูมิศาสตร์ก็มีอายุเป็นหมื่นๆ ล้านปีแล้ว ถ้าเธออยากจะวิจัยเรื่องนี้ฉันคงไม่มีเวลาบรรยาย ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? แต่ความจริงที่เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโลกนั้นอยู่ภายในตัวเรา เรามีห้องสมุดอยู่ภายในถ้าเราขึ้นไปถึงระดับที่ 2 เธอก็จะดูมันได้ แล้วเธอก็จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เพียงแค่โลกนี้เท่านั้น แต่จะรู้เกี่ยวกับโลกอื่นๆ มากมายในจักรวาล
ถาม: ท่านอาจารย์ชิงไห่ ถ้าใครได้รับการประทับจิตจากท่านแล้ว ก็จะต้องเป็นลูกศิษย์ของท่านตลอดไปหรือไม่? งานของลูกศิษย์คืออะไร?
ตอบ: งานของลูกศิษย์ของเราก็คือการมาเป็นอาจารย์ (คนหัวเราะ) เพราะ ฉะนั้น เธอไม่จำเป็นต้องเป็นลูกศิษย์ของฉันด้วยซ้ำ เธอเองก็เป็นอาจารย์อยู่แล้วเพียงแต่เธอไม่รู้ ดังนั้น ฉันจึงบอกวิธีให้เธอจำตนเองได้อีกครั้งหนึ่งเท่านั้นแหละ จริงๆ แล้วไม่มีลูกศิษย์ คำนี้เป็นเพียงชื่อเรียกซึ่งเราใช้เรียกตัวเราในโลกแห่งวัตถุนี้
ถาม: ขอให้ท่านกรุณาอธิบายให้ฉันฟังว่าจิตใจคืออะไร?
ตอบ: จิตใจไม่ใช่อะไรเลย เป็นเพียงความคิดต่างๆ และข้อมูลที่เรารวบรวมไว้ในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเราติดต่อสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ และเราเรียกสิ่งนั้นว่า "ตัวตน" หรือ "จิตใจ" แล้วเราก็เริ่มยึดติดกับสิ่งนั้นและพูดว่า "โอ! ฉันเป็นแบบนั้น ฉันแปรงฟันวันละ 3 หน นั่นแหละตัวฉัน" ฯลฯ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้คืออะไรกัน เป็นเพียงข้อมูลที่รวบรวมไว้เท่านั้น ก่อนที่เธอจะเกิดมาเธอไม่เคยแปรงฟันของเธอๆ ไม่มีฟัน (คนหัวเราะ) นั่นคือตัวอย่าง เธอเข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น จิตใจนี้ไม่มีอะไรเลย และเราคงจะไม่ฉลาดเลยถ้าจะมัวแต่ฟังสิ่งที่เรียกว่าจิตใจนี้ มันเป็นเพียงนิสัยที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูลจากคนอื่นๆ จากสังคม และจากความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันทำให้เราคิดว่าเราเป็นแบบนั้น "โอ ฉันต้องกินนี่ ฉันต้องดื่มกาแฟเพราะว่านั่นคือตัวฉัน เป็นวิธีการของชีวิตของฉัน นี่แหละตัวฉัน" แต่ตัวฉันนั้นคือใคร? ใครดื่มกาแฟก่อนที่เธอจะเกิดมา? เมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนนี้ ยังไม่มีกาแฟเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเชื่อถือไม่ได้เป็นสิ่งไร้สาระมาก มันไม่ใช่ตัวเธอเอง แต่นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่เรียกว่า "ตัวฉัน" นี่แหละคือจิตใจ
ถาม: เมื่อท่านรู้แจ้งแล้ว ท่านอาจจะสูญเสียการสำนึกถึงการรู้แจ้งของท่านได้หรือไม่?
ตอบ: โอ ได้ เป็นไปได้ ใช่ เมื่อตอนเธอนอนหลับ บางครั้งเมื่อเธอนั่งสมาธิแล้วเธอก็นอนหลับและแสงก็มา การรู้แจ้งก็มาแต่เธอก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รับรู้มันแต่ตอนที่เธอไม่ได้นอนหลับเธอก็จะรู้ โอเค?
ถาม: เราจะหยิบยื่นสันติภาพให้แก่ผู้ที่เคยเป็นศัตรูของเราได้โดยเร็วอย่างไร?
ตอบ: ก็กอดเขา จูบเขา ให้ลูกอมแก่เขา (คนหัวเราะและปรบมือ) นี่แหละคือสิ่งที่ฉันทำเมื่อเช้านี้ เพราะบางคนไม่สามารถจะรู้แจ้งได้ด้วยคำพูด หรือการอธิบาย หรือแม้แต่การประทับจิต บางคนเพียงแต่ต้องการความรักโดยตรง ทั้งทางด้านร่างกาย ความคิด รวมทั้งอารมณ์ด้วย
ถาม: ฉันจะหนีจากเนื้อหนังของฉัน และหมดความต้องการเรื่องเพศตรงข้ามได้อย่างไร?
ตอบ: โอ! อย่าหนีมันไป (คนหัวเราะ) มิฉะนั้นแล้ว เราก็คงไม่มีลูกกันอีกต่อไป พยายามอดใจไว้ มีคู่เพียงคนเดียวเท่านั้น โอเค? ถ้าเธอมีกัลยาณมิตรซึ่งเธอพบว่าดีต่อตัวเธอ ความรักทั้ง 3 มิติ คือ ร่างกาย อารมณ์ และความคิดก็เป็นสิ่งที่ดี จากนั้นความต้องการทางเนื้อหนังจะค่อยๆ ลดความรุนแรงในตัวเธอลงไป หลังจากที่เราควบคุมสัมพันธภาพอันมั่นคงในชีวิตสมรสได้แล้ว เธอเข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนั้นมันจะค่อยๆ ตายลงไป มันจะหมดเสน่ห์ลงเพียงแต่อดใจให้เย็นๆ ไว้ เพราะฉะนั้น มีคู่เพียงคนเดียวแค่นั้นก็พอแล้ว (คนปรบมือ)
ถาม: เราจะช่วยเหลือคนที่กำลังป่วยหนักอย่างดีที่สุดได้อย่างไร?
ตอบ: บางครั้งเราก็มีปัญหาได้ บางครั้งรถอาจจะไหม้ บาง ครั้งยางแตก บางครั้งตัวถังมีรอยขูดอะไรแบบนี้ เธอทำอย่างไรกับรถของเธอล่ะ ก็พยายามซ่อมแซมมันไปร่างกายก็เช่นเดียว กัน และถ้าหากรถนั้นซ่อมไม่ได้แล้วมันอาจจะต้องใช้เงินในการซ่อมแพงกว่าที่จะซื้อคันใหม่ ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อคันใหม่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ?ร่างกายของเราก็เช่นเดียวกัน อะไรที่เธอสามารถจัดการกับรถได้ รถคันนี้ หมายถึงร่างกายนี้ก็ทำไป ถ้าทำไม่ได้ก็ปล่อยมันไป และพระเจ้าก็จะให้รถคันใหม่แก่เธอส่วนใหญ่เอาแต่สนใจรถคันนี้กันมากเหลือเกิน และเขาก็เกิดมีการฆ่ากันเพื่อให้รอดชีวิตก็เพราะรถคันนี้ ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ซึ่งค้านกับจิตสำนึกของเราก็เพราะรถคันนี้ ดังนั้นเราจึงต้องตระหนักให้ดีว่า มันเป็นเพียงแค่เครื่อง มือชิ้นหนึ่ง ก็เหมือนกับรถที่เธอซื้อนั่นแหละ
ถาม: ถ้าบุคคลหนึ่งมีความปรารถนาที่จะได้รับการหลุดพ้นหรือออกไปพ้นจากโลกทั้งสามนี้ ความปรารถนาแบบนี้ตากต่างจากความปรารถนาทั่วไปหรือไม่?
ตอบ: ถูกต้องมันแตกต่าง เพราะเมื่อมีความปรารถนานี้เพียงอย่างเดียวความปรารถนาอื่นๆ ทั้งหมดก็ตายไป มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะมีความต้องการหลายอย่างเกินไป เข้าใจไหม? แล้วเราก็จะมีปัญหา เพราะเราจะถูกดึงจากทิศทางต่างๆ คนละทิศ ในขณะที่ถ้าเรามีความปรารถนาที่จะมุ่งขึ้นไปสูงๆ เพียงอย่างเดียว เราก็จะถูกดึงขึ้นและเราก็จะมีความสุข เราจะได้ไปถึงธรรมชาติอันสูงส่งของเรา
ถาม: ความรักทำให้มัวเมาหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้นเราควรจะต้องงดเว้นจากมันหรือไม่ตามศีลข้อที่ 5?
ตอบ: โอ! ไม่ๆๆ! ความมัวเมานี้หมายถึงยาเสพติด แอลกอ ฮอล์และสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เธอเสพติดทำให้เธอกลายเป็นทาสและยังทำให้สายตาของเธอพร่ามัว ทำลายเซลล์สมองของเธอ ทำลายความสามารถในการคิด การเห็น และการกระทำที่แจ่มชัด พวกนี้คือยาเสพติดเป็นสิ่งที่ทำให้มัวเมา
ถาม: เราจะได้พลังงานจากการนั่งสมาธิโดยวิธีไหน?
ตอบ: วิธีซึ่งไม่ต้องออกแรง พลังงานจากการนั่งสมาธิมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว โดยอาศัยพลังที่เราได้รับเมื่อเราได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ท่านหนึ่ง พลังนั้นก็ตื่นขึ้น ดังนั้น เรานั่งสมาธิด้วยวิธีการที่เราเรียกว่าธรรมวิถีกวนอิม ซึ่งไม่ใช่เป็นวิธีการอะไรเลย เราได้รับพลังงานโดยตรงโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นการกระทำซึ่งไม่ต้องออกแรง นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด เป็นวิธีตามธรรมชาติ เพาะว่าเราได้รับในสิ่งที่เรามีอยู่ เราไม่ได้ยืมใครมา เราไม่ต้องพยายาม เราไม่ได้ขโมย เราไม่ได้บังคับให้มันเกิดขึ้นแต่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นก็เพราะมันมีอยู่แล้ว
ถาม: การรู้แจ้งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พุทธะแบบเซ็น ใช่หรือไม่?
ตอบ: ใช่ ถ้าเธอต้องการชื่อนี้มากเหลือเกิน
ถาม: มีโอกาสเป็นไปได้ไหมที่มนุษย์ซึ่งรู้แจ้งเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ จะสามารถส่งผลกระทบทำให้คนจำนวนมากที่หลับอยู่หรือหลงทางไปได้ตื่นขึ้น?
ตอบ: ได้ๆ พวกเขาจะทำให้เกิดผลกระทบบางอย่าง ถูกต้อง แต่แน่นอนสิ่งที่ดีที่สุดก็คือคนส่วนใหญ่สามารถตื่นขึ้นมาได้
การรู้แจ้งฉับพลันภายหลังการประทับจิต
ถาม: โปรดกรุณาพูดถึงเรื่องกรรมหน่อย เราสลายหนี้กรรมของเราที่มีอยู่ก่อนได้อย่างไร และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการรู้แจ้งอย่างไร?
ตอบ: จะสลายหนี้ที่มีอยู่อย่างไรใช่ไหม? กรรมเป็นคำสันสกฤตซึ่งหมายถึงกฎที่ว่า "หว่านพืชอะไร ก็จะได้ผลอย่างนั้น" ซึ่งเป็นกฎของจักรวาลในระดับล่าง เมื่ออาจารย์ประทับจิตให้แก่เธอ ท่านก็ดึงเธอขึ้นมา ดังนั้น กรรมที่อยู่ข้างล่างก็จะถูกเผาไหม้ไปโดยไม่มีผลต่อตัวเธอ แต่ยังให้เธอมีกรรมเหลืออยู่นิดหน่อยเพื่อให้เธอดำเนินชีวิตต่อไปได้และชีวิตก็จะราบรื่น และได้รับการหล่อลื่นจากพลังของอาจารย์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ภายหลังการประทับจิตเธอก็ไม่มีกรรมสะสมอีกต่อไป เธอจึงไม่ต้องกลับมากเกิดใหม่ ก็เป็นเรื่องง่ายมากเราสามารถจะสร้างกรรมหรือสามารถยืมกรรมได้จากสรรพสัตว์อื่นๆ จำนวนมาก เพื่อจะได้ลงมาได้ ดังนั้น การประทับจิตจึงเป็นการทำลายกรรมทั้งหมดในอดีต จึงไม่มีโอกาสที่จะกลับมาได้ใหม่ในอนาคต
ถาม: คำว่า "รู้แจ้งฉับพลัน" หลังการประทับจิตนั้น ท่านหมายความว่าอย่างไร?
ตอบ: ฉันหมายถึงการรู้แจ้งแบบ "ฉับพลัน" "ทันที" เหมือน กับแบบนี้ โอเค? (อาจารย์ดีดนิ้ว) ถ้าฉันแสดงให้เธอเห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของเธอแล้ว เธอจะสามารถหยิบมันออก มาได้ทันทีหรือเปล่า? (ผู้ฟัง: ได้) เป็นแบบนี้แหละ เพราะว่าเธอมีมันอยู่ภายในตัวเธอ ฉันเพียงแต่ชี้ให้เธอรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เธอก็เอามันออกมาได้
ถาม: ท่านอาจารย์ทุกวันนี้มีคนเป็นจำนวนพันๆ ล้าน ซึ่งจะผ่านชีวิตนี้ไปโดยไม่ได้รับการประทับจิตจากท่าน หมายความว่าคนเหล่านี้จะไม่สามารถรู้แจ้งในชาตินี้ด้วยวิธีการอื่นเลยหรือ?
ตอบ: ได้ ทำได้ เขาทำได้ แต่ทำได้ในระดับที่แตกต่างกัน เข้าใจไหม? บางครั้งเมื่อสวดอธิษฐานอย่างตั้งใจ เขาก็อาจจะได้รับการรู้แจ้งแวบหนึ่ง แต่มันริบหรี่หน่อย และบางครั้งก็หายไปได้ แล้วเขาก็อาจจะไม่รู้อย่างชัดเจนว่าสวิตซ์อยู่ไหน เธอสามารถเปิดมันเมื่อไรก็ได้ที่เธอต้องการ และเธอจะอยู่ภายในกรอบของแสง แต่การรู้แจ้งจากวิธีการอื่นๆ อาจจะไม่ถาวรเสมอไป และบางครั้งก็อันตรายเพราะเขาไม่รู้วิธีการจัด การกับพลังงานซึ่งค้นพบใหม่ เพราะฉะนั้นบางคนจึงมีปัญหาทางสมอง และมีอะไรแปลกๆ อีกหลายอย่าง หรือมัวแต่เพลินอยู่กับอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นพลังระดับล่างๆ ก็เลยกลาย เป็นนักอิทธิปาฏิหาริย์ คนรักษาโรค หรืออะไรอย่างอื่นโดยไม่สามารถไปถึงระดับจิตขั้นสูง เพราะว่าหากไม่ได้รับการนำทางจากอาจารย์ เราก็ไม่รู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปไหน แล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลานและเล่นอยู่กับสิ่งต่างๆ มากมายและบางครั้งก็อัน ตราย เพราะว่าหนทางแห่งหารรู้แจ้งเพราะว่าหนทางแห่งการรู้แจ้งนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์กลและหลุมพราง ซึ่งเราควรต้องหลีก เลี่ยง แต่เมื่อได้รับการนำทางอย่างมีประสบ การณ์มันก็ง่ายกว่า เร็วกว่า ปลอดภัยกว่า แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะ? โลกก็เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นมันถึงยังเป็นโลกนี้อยู่ ถ้าคนในโลกรู้แจ้งกันหมดเราก็ไม่เรียกว่า "โลก" อีกต่อไป เราจะเรียกว่า "สวรรค์" เข้าใจไหม? และบรรยากาศรอบตัวเราจะต่างไปจากเดิม ทุกๆ สิ่งจะต่างไป ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาอาหาร เราไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีอยู่เหมือนในสวรรค์ เพราะผลบุญของเราจะแตกต่างออกไปหลายเท่าทวีคูณ เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มีเพียงไม่กี่ล้านคนเท่านั้นที่รู้แจ้ง ผลของมันไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมประชากรทั่วโลก เข้าใจไหม? ดังนั้น เราจึงยังมีภัยพิบัติ ยังมีสงคราม ถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าแต่ก่อนก็ตาม การเมืองก็ลดความเข้มข้นลง โอกาสที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 4 ที่ 5 ก็ห่างไปจากปัจจุบันแล้ว เพราะในศตวรรษนี้คนส่วนใหญ่มีการตระหนักรู้สูงส่งขึ้น เนื่อง จากสื่อมวลชน ระบบการกระจายข่าวเกี่ยวกับข่าวสารการรู้แจ้งของอาจารย์ไปทั่วโลก และเนื่องจากคนจำนวนมากเข้ามาร่วมในกลุ่มของนักปราชญ์ผู้รู้แจ้ง เพราะฉะนั้นโลกเราจึงดีขึ้น
ถาม: พระเยซูไม่ได้กล่าวถึงเฉพาะสิ่งดีๆ เช่น สันติ ภาพ ความรัก ชีวิตนิรันดร์เท่านั้น พระองค์ยังกล่าวถึงสิ่งที่น่ากลัวเกี่ยวกับการลงโทษชั่วนิรันดร์ด้วย ท่านเชื่อว่าพระเจ้าจะลงโทษใครสักคนไปชั่วนิรันดร์หรือไม่?
ตอบ: ไม่ ตัวเขานั่นแหละลงโทษตัวเอง ถ้าเขาปฏิเสธแสงสว่างเขาก็ต้องอยู่ในความมืด และตราบใดที่เขายังปฏิเสธอยู่เขาก็จะยังคงอยู่ในความมืด เขาอาจจะอยู่ไปตลอดนิรันดร์ก็ได้ถ้าเขาปฏิเสธแสงสว่างไปตลอดนิรันดร เพราะฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับแต่ละคน (คนปรบมือ)
ถาม: ในฐานะที่เป็นมนุษย์บนโลก เรามีหน้าที่ที่ต้องกระทำเช่น เรื่องอาหาร เสื้อผ้า ให้มีหลังคาคุ้มหัวของเรา และมีมากพอที่จะจ่ายให้กรมสรรพากร (คนหัวเราะ) เราจะหลุดออกจากสิ่งเหล่านี้ และเริ่มต้นฟูมฟักความต้องการทางจิตวิญญาณของเราได้อย่างไร?
ตอบ: เธอก็ยังต้องรักษาหลังคาไว้เหนือหัวของเธอ อย่าเอาหลังคาออกไป (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เพียงแต่ให้เธอรู้แจ้งขึ้นไม่ต้องกังวลหรอก! ฉันอาศัยอยู่ในเต๊นท์ ฉันก็ยังเรียบร้อยดี บางครั้งเต็นท์ถูกพัดหายไปไม่มีหลังคาอยู่ ฉันก็ยังโอเค เราเคยมีสถานที่นั่งสมาธิซึ่งกว้างใหญ่มาก สามารถรองรับคนได้ประมาณ 7,000 คน แต่เมื่อปีที่แล้วมีบางคนพูดอะไรบางอย่างออกมาสถานที่นั้นก็เลยถูกรื้อลงมา ก็โอเค เราก็ปล่อยให้มันถูกรื้อไป เราไม่คัดค้าน เราไม่บ่น เราไม่อธิบายเรื่องที่เราถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูล เราไม่กังวลเลย จากนั้น เราก็วางแผนที่จะเอาเสื้อกันฝนมาเวลาที่ฝนตก และเอาร่มมาเวลาแดดออก เพียงเพื่อจะได้นั่งตรงนั้น นั่งสมาธิไปเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เมื่อเรารู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเรียบร้อยไปด้วย พระเยซูสัญญาไว้ว่า "จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด แล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาสู่เราเอง" ฉันก็สัญญากับเธออย่างเดียวกัน (คนปรบมือ)
ถาม: จริงหรือไม่ที่หากผู้หญิงไม่มีลูกของตนเองเธอจะไม่มีชีวิตที่สมบูรณ์?
ตอบ: เขาต้องการได้คำตอบไร้สาระหรืออะไรกัน? พวกเธอเห็นด้วยหรือเปล่า? (ผู้ฟัง:ไม่เห็นด้วย) พวกเขาบอกว่า "ไม่เห็นด้วย" โอเค! ถ้าพระเจ้าไม่ได้บัญชาให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานอันเกิดจากการคลอดลูก เธอก็ควรจะบอบคุณในพระพรของท่าน (คนปรบมือ) จริงไหม? เรามีเด็กๆ มากพอแล้วโลกนี้
ถาม: จิตใจของฉันยากที่จะสงบลงเพื่อจะนั่งสมาธิได้ มันเหมือนกับลิงซึ่งอยากจะวิ่งเล่นแต่ไม่ยอมนั่งเงียบๆการนั่งสมาธิตามแบบของท่านจะช่วยให้จิตใจสงบลงและตระหนักรู้ถึงตัว ตนที่แท้จริงได้อย่างไร?
ตอบ: ฉันเพียงแต่ทำให้จิตใจหลับไป (คนหัวเราะ) โดยใช้แสงและเสียง ดนตรีจะช่วยกล่อมให้เขาหลับ แสงจะช่วยให้เขาสบาย แล้วเขาก็จะหลับไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงแต่วิญญาณเท่านั้นที่ตื่นอยู่ อย่างไรก็ดี ถ้าเธอยังไม่ต้องการที่จะมาร่วมกับเราก็พยายามนั่งสมาธิตามวิธีของเธอต่อไป และเธอก็จะเคยชินกับมันมากขึ้นทีละน้อย แต่ปัญหาก็คือถ้าเธอนั่งอยู่ในสมาธิใช้ความพยายามสุดความสามารถ เพ่งลมหายใจหรือจักระหัวใจ หรือจักระอะไรก็ตามทั่วไปหมด แล้วเอก็ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย แน่นอนจิตใจก็ต้องรู้สึกเบื่อหน่าย แล้วมันก็จะพูดว่า "เฮ้ นี่เธอทำอะไรอยู่น่ะ? เธอจับฉันมานั่งที่นี่เพื่ออะไร? ฉันอยากจะดูหนังมันสนุกกว่านี้ตั้งเยอะ ฉันอยากจะไปดื่มน้ำชาและพูดคุยกับเพื่อนๆ ดีกว่ามานั่งแบบนี้" เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม?
ฉันมีเพื่อนบำเพ็ญคนหนึ่ง เธออายุค่อนข้างมากแล้วประ มาณ 60 โอ ไม่ใช่ 50 กว่าๆ ก่อนที่เธอจะมาเจอฉันเธอมีอาจารย์คนอื่นมากมาย อาจารย์เหล่านั้นสอนธรรมวิถีให้แก่เธอหลายแบบหลายวิธี นั่งพิจารณาลมหายใจ นั่งอยู่ในเซนวันละ 15 ชั่วโมงและอะไรอย่างอื่นอีกมาก ทานอาหารเพียงมื้อเดียวและเธอก็บอกว่าเธอก็นั่งและนั่ง จนในที่สุดเธอก็ไม่สามารถนั่งต่อไปได้ เธอไม่ได้รับอะไรเลยเธอจึงทนไม่ได้ แต่หลังจากที่เธอได้รับการรู้แจ้งแล้วเธอก็บอกว่า "โอ บางครั้งเธอนั่งนานถึง 4 ชั่วโมง" แล้วเธอก็มีความสุขมากเป็นความสุขที่ล้นเหลือและเพราะว่าเธอมีความสุข ครอบครัวทั้งครอบครัวของเธอซึ่งมีสมาชิกอยู่ 8 คนก็เลยพลอยสุขไปด้วยทั้งหมด พวกเขามาเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ไม่ได้รับการประทับจิตด้วยซ้ำ พวกเขาบอกว่างานของฉันเป็นประโยชน์มากขนาดไหน พวกเขาให้กำลังใจฉันให้ทำต่อไปทั้งๆ ที่พวกเขาก็ไม่ได้รับการประ ทับจิต
ถาม: ทำไมการเป็นมังสวิรัติจึงสำคัญมากน้อยต่อการรู้แจ้ง?
ตอบ: มันสำคัญต่อตัวเธอต่างหาก เธออาจจะได้รับการรู้แจ้งโดยไม่จำเป็นต้องเป็นมังสวิรัติก็ได้ เพราะฉันไม่ได้กำหนดให้เธอต้องเป็นมังสวิรัติก่อนการประทับจิต แต่ต้องเป็นหลังจากประทับจิตเท่านั้น เธอสามารถรู้แจ้งเหมือนๆ กันโดยอาศัยพลังพรของผู้ที่เป็นอาจารย์ แต่เราต้องรักษาทัศนคติในการมีความรักต่อสรรพสัตว์ทั้งมวล เพราะว่าพวกเขาก็คือตัวเราเอง ถ้าเธอกินสมาชิกของร่างกายของเธอไปหมด หลังจากนั้นเธอก็จะรู้ชัดว่าเธอไม่มีอะไรเหลือ เข้าใจไหม? นอกจากนี้ เราก็ไม่ควรจะอยู่ในรสชาดทางวัตถุ แต่ควรจะพ้นออกมาอยู่ในความสุขแห่งการรวดชีวิตให้แก่พวกเขา (คนปรบมือ)
ถาม: ฉันเชื่อว่าฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ถ้าฉันสามารถลบความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าว่าเป็นบุคคลหนึ่ง ธรรมวิถีกวนอิมจะช่วยในแง่นี้ไหม?
ตอบ: ได้ๆ ธรรมวิถีนี้มีไว้ก็เพื่อสิ่งนี้แหละ เราจะลบการแบ่งแยกออกไป ลบความมีตัวตนออกไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเราก็ไม่ต้องทำอะไรแต่พระเจ้าจะทรงทำโดยผ่านทางตัวเรา
ถาม: ฉันไม่เชื่อว่าสติปัญญาจะดำรงอยู่เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น ท่านเชื่อหรือไม่?
ตอบ: ใช่ ถูกต้อง ไม่ได้อยู่เฉพาะที่นี่แต่อยู่ในโลกทุกโลก อาจมีระดับมากหรือน้อยต่างกันไปซึ่งอยู่กับสถานที่ ขึ้นอยู่กับสถาน ที่นั้น มีโลกอื่นๆ บางแห่งซึ่งฉลาดกว่าพวกเรา แล้วก็มีบางแห่งซึ่งฉลาดน้อยกว่าพวกเรา
ถาม: ฉันจะรู้ถึงภารกิจของฉันในชีวิตนี้ได้อย่างไร?
ตอบ: โอ ฉันขอแนะนำให้เธอได้รู้แจ้งเสียก่อน แล้วเธอก็จะเห็นชัดเจนขึ้น
ถาม: ท่านทำงานร่วมกับพี่น้องสีขาว หรือพี่น้องแห่งจักรวาล?
ตอบ: ใช่ ฉันยังทำงานร่วมกับพี่น้องสีดำด้วย (คนหัวเราะและปรบมือ) เราไม่มีการแบ่งแยก แน่นอนเขาหมายถึงพี่น้องสีขาวซึ่งเป็นชื่อเรียกสำหรับผู้ที่รู้แจ้งแล้วซึ่งช่วยเหลือจักรวาลทั้งมวล ตะกี้นี้ฉันพูดเล่นนะ ที่นั่นไม่มีขาวไม่มีดำหรอก (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ถาม: เมื่อบุคคลหนึ่งกลายเป็นอาจารย์แล้วเขาจะยังมีความกลัว ความสงสัย หรือความโกรธหรือไม่? เราเรียกพระเยซูว่าเป็นอาจารย์ท่านหนึ่ง อย่างไรก็ดีตามที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูก็มีความหวาดกลัวในคืนก่อนที่ท่านจะถูกตรึงกางเขนและก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านก็ร้องว่า "ทำไมพระเจ้าจึงทอดทิ้งฉันเล่า? กรุณาอธิบายด้วย หากพระเยซูยังมีความกลัว มีความสงสัย แล้วเราจะไม่มีความกลัวและความสงสัยได้อย่างไร?
ตอบ: ใช่ พวกท่านก็อาจจะมีความกลัวและความสงสัยแต่ความกลัวและความสงสัยนั้นไม่ได้หยั่งรากลึกเหมือนพวกเรา เธอเข้าใจไหม? ถ้าพระเยซูไม่มีความกลัวที่จะถุกตรึงกางเขนเลย การเสียสละของท่านก็คงไม่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ท่านมีความกลัวแต่ท่านก็ยอมรับมัน เข้าใจไหม? ส่วนพวกเรามีความกลัวแล้วเราก็วิ่งหนี เราพยายามจะโทษคนอื่นหรือพยายามหนี เราพยายามจะเอากางเขนไปให้ผู้อื่น นี่แหละคือความแตกต่าง เราอาจจะมีความกลัว เราอาจจะมีอารมณ์แต่เราสามารถดึงกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ หรือเราอาจจะใช้ความกลัวหรืออารมณ์ของเราเพื่อเป็นประโยชน์อื่นๆ
หลังจากรู้แจ้งแล้ว ความรู้สึกและอารมณ์ทั้งหลายก็ยัง คงอยู่เหมือนเดิม เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาให้มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อที่จะใช้มันในการเข้าใจพี่น้องชายหญิงของเรา ถ้าเธอไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์ เธอจะเข้าใจมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไร? เธอจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร เข้าใจไหม? แต่ความกลัวของผู้ที่เป็นอาจารย์นั้นจะต่างไป ความกลัวของอาจารย์บางครั้งได้รับผลกระทบมาจากความกลัวของลูกศิษย์ ท่านจะรับความกลัวมาจากลูกศิษย์เพื่อให้ลูกศิษย์ไม่กลัว แต่ผู้ที่เป็นอาจารย์ก็ต้องรับความกลัวนั้นไว้ระดับหนึ่ง แต่ความกลัวนั้นตื้นๆ ไม่หยั่งรากลึกเป็นเพียงแค่ภาพหลอนผู้ที่เป็นอาจารย์นั้นในแง่หนึ่งมีความกลัว แต่ในอีกแง่หนึ่งไม่มีความกลัวอะไรเลย เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม? ท่านรู้ว่าท่านต้องมีความกลัวแต่ท่านไม่ได้กลัวความกลัวนั้น (คนปรบมือ)
ถาม: จริงๆ แล้วกวนอิมหมายความว่าอย่างไร? กรุณาอธิบายด้วย
ตอบ: ในกลุ่มของเรากวนอิมหมายถึง การสังเกตคำพูดภายใน คำสอนภายใน ดนตรีภายใน ดนตรีสวรรค์
ถาม: ความรักนั้นสามารถเป็นแบบไม่มีข้อแม้ได้จริงๆ หรือ? ถ้าพระเจ้ารักผู้ที่ไม่ทำบาปและยังรักและให้อภัยผู้ที่ทำบาป แล้วทำไมเราจึงต้องมานั่งเสียเวลาในชีวิตของเราเพื่อพยายามหลีก เลี่ยงบาป?
ตอบ: ก็เพราะว่ามันทำร้ายตัวเราเองไม่ใช่ทำร้ายพระเจ้า เมื่อ ใดก็ตามที่เราทำสิ่งซึ่งเรารู้ว่าบาป ไม่ถูกต้อง เราก็ทำร้ายตัวเราเอง จิตสำนึกของเราจะด่าเราทำให้เราลำบาก เพราะฉะ นั้นเราจึงพยายามหลีกเลี่ยงมัน พระเจ้ารักทุกคนเหมือนๆ กันดังนั้น พระอาทิตย์จึงสาดส่องลงมาบนทุกสิ่งทุกอย่าง ฝนไม่เกลียดคนจน คนเจ็บป่วยหรือคนบาป แต่เป็นตัวเราที่รับผิดชอบต่อความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างเรากับพระเจ้าถ้าเราทำอะไรซึ่งไม่ถูกต้อง ดังนั้น เราจึงควรหลีกเลี่ยงมัน นอกจากนี้ยังเป็นหน้าที่ของเราด้วยเมื่อเราอาศัยอยู่ในโลกนี้ เรามีความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน เราจึงต้องรักษาสังคมให้มีความเป็นระเบียบเรียบ ร้อย โอเค?
ถาม: สิ่งซึ่งอาศัยอยู่ในโลกอื่น หรือพวกที่เดินทางมาในจานบินนั้น พวกเขามีชะตาชีวิตแบบเดียวกับมนุษย์เราหรือไม่ มีความอ่อนแอต่อความทุกข์ทรมานเหมือน กัน มีความต้องการจะรู้แจ้งเหมือนกันหรือไม่?
ตอบ: ใช่ ก็เหมือนกันบ้าง เหมือนกันในระดับหนึ่ง แต่น้อยกว่าเราน้อยกว่าพวกเราที่เป็นชาวโลก เพราะว่าพวกเขามีความ ก้าวหน้ามากกว่า เขาอยู่ใกล้พระบิดามากกว่า เขามีแสงมากกว่า มีปัญญามากกว่า
ถาม: เมื่อได้รับการประทับจิตแล้ว เราจำเป็นต้องเลิกนับถือศาสนาของเราหรือไม่?
ตอบ: ไม่ๆๆ กรุณาอย่าเลิก เราบอกแล้วว่าในการประทับจิตนั้น เธอไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอาชีพ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา ไม่มีปัญหา ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ขอให้ทานมังสวิรัติเท่านั้นก็พอ
ถาม: เราจะได้พบกับสัตว์เลี้ยงของเราและเพื่อนๆ ที่เป็นสัตว์ในสวรรค์หลัง จากการเดินทางของชีวิตนี้สิ้นสุดลงหรือไม่?
ตอบ: ได้ถ้าพวกเธอต้องการพวกเขา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ถ้าเธอต้องการพวกเขาและถ้าเธอรู้แจ้งเธอก็สามารถเอาพวกเขาไปได้ แต่ถ้าเธอไม่รู้แจ้งเธอก็ไม่มีกำลังที่จะนำเขาไป เธอไม่มีพลัง เธอไม่สามารถแม้กระทั่งจะนำตัวของเธอเองไปยังที่ๆ ต้องการแล้วจะเอาสัตว์เลี้ยงไปได้อย่างไร
ถาม: วัตถุประสงค์ของโรคระบาด เช่น มาลาเรีย เอดส์ ฯลฯ คืออะไร? มนุษย์เรากำลังขัดขวางกระบวน การทางธรรมชาติโดยการพยายามหาวิธีรักษาโรคเหล่านี้หรือไม่?
ตอบ: เมื่อเธอค้นพบวิธีรักษาโรคนี้บางโรค ก็จะมีโรคชนิดอื่นเกิดขึ้นมาเองอีก แต่เมื่อมนุษย์ตระหนักว่าเขาควรจะยอมตามพระประสงค์ของพระเจ้า ยอมตามพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ภายในตัวเรา และต่อเมื่อมนุษย์ตระหนักว่าภายในตัวเขามีพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งรักษาโรคได้ทุกโรค และตระหนักว่าเขาควรจะพึ่งพลังนี้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นโรคทั้งหลายจึงจะหายไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นคำเตือนว่าเราควรจะหันกลับมาหาพระเจ้า
ถาม: การรู้แจ้งเพื่อไปถึงระดับสุงสุด หรือการตระ หนักรู้ในพระเจ้านั้นจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับตัวเอว่าเธอขยันแค่ไหน เธอต้องการมันมากแค่ไหน และยังขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นอาจารย์ ว่าอาจารย์ผู้นั้นมีพลังเพียงพอที่จะนำเธอผ่านระดับต่างๆ ของจิต และพอที่จะนำเธอไปในที่ๆ เธอต้องการได้หรือไม่?
ถาม: ระดับของสมาธิมีกี่ชนิด?
ตอบ: ว้าว! มีเยอะแยะมากมาย ระดับของจิตมีมากมาย ดังนั้น ระดับของสมาธิก็มีมากมาย แต่สมาธิที่ท้ายสุดก็คือสมาธิซึ่งมิใช่สมาธิ หมายความว่า เธอทำงานของเธอในโลกต่อไปเหมือนคนธรรมดา แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็อยู่ในสมาธิตลอดเวลาและไม่ส่งกลิ่นออกมา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ไม่มีกลิ่นอะไรออกมาที่เธอจะสามารถดมได้ว่าบุคคลนั้นอยู่ในสมาธิ นั่นแหละคือสมาธิระดับสูงสุด
ถาม: เราสามารถจะแยกศาสนาและวิทยาศาสตร์ออกจากกันและเชื่อในทั้ง 2 อย่างได้หรือไม่? ฉันหมายความว่า ด้วยการทำแบบนี้ฉันจะสามารถเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในวิวัฒนาการพร้อมกันไปด้วยหรือไม่?
ตอบ: แน่นอนๆๆ ทฤษฏีวัฒนาการสนับสนุนความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมนุษยชาติ มันเป็นเรื่องเดียวกัน วิทยา ศาสตร์และทฤษฎีทางศาสนาคล้ายคลึงกันมาก สิ่งเดียวที่แตก ต่างก็คือ บางครั้งวิทยาศาสตร์สามารถก้าวไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็หยุดที่นั่น แต่ศาสนานั้นไปได้ไกลกว่าและกว้างกว่า (คนปรบ มือ)
ณ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ วอชิงตันดีซี สหรัฐฯ
14 เมษายน 1993 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
ฉันรู้สึกท่วมท้นตื้นตันในความรักของท่าน และโปรแกรมการต้อนรับที่พวกท่านได้จัดขึ้น ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะต้องเดินทางและไม่ได้นอนพักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวัน แต่ในคืนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันได้รับพร และมีความปลื้มปีติอย่างมากที่ได้มาร่วมการชุมนุมกับพวกท่าน ฉันมั่นใจว่าเราจะได้รู้จักกันและกัน เหมือนอย่างที่เราเคยรู้จักกันมาแล้ว คืนนี้ไม่มีอะไรใหม่สำหรับพวกเราเลย แต่ขอให้เราได้เตือนใจกันและกันถึงสิ่งที่อาจจะลืมไป หรือสิ่งที่เราได้นำไปวางไว้ที่มุมอันห่างไกลแห่งจิตวิญญาณของเรา แล้วก็ไม่มีโอกาสไปเปิดดูมันอีกเลย สิ่งนั้นก็คือการรู้แจ้ง หรือธรรมชาติแห่งการรู้แจ้งของตัวตนอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ที่ฉันรู้สึกตื้นตันนั้นมิใช่เพราะความรักของพวกท่านเท่านั้น แต่เพราะฉันรู้อย่างชัดเจนว่า ฉันกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าบรรดาพุทธะ และพระเจ้าที่ปรากฏโฉมออกมา สิ่งนี้แหละที่นำน้ำตาแห่งความยินดีมาสู่หัวใจของฉัน
ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่ฉันนั่งอยู่กับคนจำนวนมากแล้วฉันจะรู้สึกตระหนักยินดีในเรื่องนี้เสมอไป แต่มันก็เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ และมันเป็นสิ่งที่งดงามมาก โดยเฉพาะบางโอกาสที่ฉันรู้สึกท้อถอย ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ฉันครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ ว่ามันเป็นสิ่งที่มีประ โยชน์จริงๆ หรือเปล่า แต่ในคืนนี้ฉันก็รู้สึกว่าฉันจะทำมันต่อไป ทั้งนี้ก็เพราะความรักของพวกท่านและปัญญาอันสูงส่งของพวกท่าน ฉันรู้ดีว่าฉันจะทำมันต่อไปได้แน่ นอน (คนปรบมือ) และในอนาคตอันใกล้นี้หากฉันได้รับความสำเร็จสามารถทำให้ผู้คนได้รับความสุข ได้ตระ หนักรู้ถึงพระเจ้า ในระหว่างที่เดินทางไปบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ นี้ ฉันก็จะระลึกถึงผู้คนที่วอชิงตันดีซี ขอบ คุณมากๆ (คนปรบมือ) คืนนี้ฉันต้องการสิ่งนี้จริงๆ มันเป็นสิ่งที่ดีมาก (คนปรบมือ)
การรู้แจ้งมีอยู่แล้ว รอให้ผู้ที่เป็นอาจารย์มาเปิดมันเท่านั้น
การรู้แจ้งนั้นมีอยู่ภายในตัวของเราอยู่แล้ว เพราะฉะ นั้น ไม่ว่าสิ่งใดที่เพื่อนประทับจิตของเราบอกว่ามาจากตัวฉัน ฉันก็ไม่ควรจะยอมรับเพราะว่ามันเป็นของพวกเธอทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความยิ่งใหญ่หรือพระพรซึ่งเธอได้รับในระหว่างที่เธอฝึกบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ หรือเธอค้นพบมันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก็ล้วนแต่เป็นของเธอ แต่เนื่องจากพี่ๆน้องๆ ที่มีจิตวิญญาณพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับสูง จะมีธรรมชาติของความถ่อมตนอยู่ภายใน พวกเขาจึงยกพลังมหัศจรรย์ต่างๆ และพลังพรทั้งหมดให้กับผู้ที่เป็นอาจารย์ ไม่ว่าอาจารย์ของเขาจะเป็นใครซึ่งอาจจะบังเอิญเข้ามาอยู่ร่วมหนทางเดียวกับเขา และได้ช่วยแสดงวิธีให้เขาได้ค้นพบตนเองอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากพวกเธอไม่ได้รู้แจ้งอยู่ก่อนแล้ว ถ้าธรรมชาติของเธอไม่ใช่พุทธะ ฉันก็ไม่มีวันจะทำให้เธอกลายเป็นพุทธะได้เลย ถ้าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในตัวเธอมาก่อนแล้ว ฉันก็ไม่มีวันแสดงพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวของเธอได้ ฉันไม่สามารถจะทำให้หินกลายเป็นเพชร ไม่ว่าฉันจะนั่งขัดถูมันนานสักเท่าไรก็ตาม เธอเข้าใจไหม!
เพราะฉะนั้น จากความถ่อมตนทั้งหมดของฉันๆ จึงอยากจะบอกให้พวกเธอทราบว่า พวกเธอนั้นมีความยิ่งใหญ่มาก พวกเธอคือมหาอาจารย์สูงสุดและเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีอะไรที่ฉันควรจะเอามาสอนเธอเพียงแต่จะช่วยชี้ให้เธอเห็นอัญมณีอันมีค่า ซึ่งเธอเก็บไว้ในกระเป๋าและเธอลืมมันไป เนื่องจากเธอมัวแต่วุ่นวายเที่ยวมองหามันที่อื่น บ่อยครั้งทีเดียวที่เธอทำแบบนั้นเธอเอาของใส่กระเป๋า เช่น แว่นตาของเธอ หรือเงินหรือสิ่งมีค่าอะไรก็ตาม แล้วเธอก็ลืมไปทั้งๆ ที่มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง (อาจารย์หัวเราะ) เธอเที่ยวมองหาค้นทั่วบ้านทุกซอกทุกมุมแต่ก็หาไม่เจอ เพราะฉะนั้นเธอจึงคิดว่าการแสวงหาทรัพย์สมบัติของเธอนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่าควรจะมองหาที่ไหนแค่นั้นเอง และอาจจะมีเพื่อนบางคนยืนอยู่ข้างๆ บอกเธอว่า "เฮ้! มันอยู่ในกระเป๋าของเธอไง" นี่แหละคืองานของผู้ที่เป็นอาจารย์ ดังนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ใครที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "อาจารย์" จากบรรดาลูกศิษย์ จริงๆ แล้วเขาก็เหมือนกับเรานั่นเอง เขาควรจะเป็นผู้ที่ถ่อมตนมากๆ มีคุณสมบัติความเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทุกประการ และเขาก็ไม่รู้ หรอกว่าตัวเองคืออาจารย์ แต่เนื่องจากบรรดาลูกศิษย์ได้รับประสบการณ์ จึงอ้างว่าเกิดจากอาจารย์ผู้นั้นเหมือนคำกล่าวที่ว่า "เมื่อเห็นผลที่ออกมาจากเธอก็รู้ได้ว่าเธอเป็นอะไร" แต่อย่างไรก็ตาม จะเป็น "อาจารย์" หรือ "ไม่ใช่อาจารย์" ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือเพื่อนที่มีประสบการณ์คนนั้น ซึ่งเราเรียกเขาว่าอาจารย์ จะต้องสามารถแสดงให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของตัวเรา แล้วเราก็สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้
ความแตกต่างระหว่างผู้รู้แจ้งและไม่รู้แจ้ง
ผู้ที่รู้แจ้งและผู้ที่ไม่รู้แจ้งนั้น มีความแตกต่างกันมากมาย ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีลักษณะคุณสมบัติต่างๆ เหมือนๆ กัน มีปัญญาระดับเดียวกันและมีความยิ่งใหญ่เท่าเทียมกัน ฉันไม่สามารถบอกเธอได้ว่าแตกต่างกันอย่างไร แต่ฉันรู้ว่ามันต่างกัน และลูกศิษย์ของเราหลายคนก็รู้สิ่งนี้หลังจากได้รับการประทับจิต ใช่ไหม? (ผู้ฟัง:ใช่) พวกเธอบางคนทราบดี แล้วหลังจากนั้นเธอก็ไปพูดคุยกับคนที่ยังไม่ได้รับการประทับจิต ยังไม่ได้ค้นพบคุณสมบัติบางส่วนของปัญญาของเขา ก็จะเห็นความแตกต่างกันอย่างมากมายระหว่างบุคคลทั้งสอง แม้ว่าลักษณะภายนอกจะไม่มีอะไรต่างกันเลยก็ตาม การรู้แจ้งจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นก้าวเข้ามาอยู่ในตัวบ้าน เพื่อที่ จะมาตรวจดูว่ามีสมบัติอะไรอยู่ภายในตัวบ้าน เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในตัวบ้านเขาก็พ้นจากความหนาวเย็น พ้นจากอันตราย จากสุนัขป่า เสือ และภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งหลายซึ่งอาจจะเกิด ขึ้นได้
มีความแตกต่างกันมาก เมื่อเราเข้ามาอยู่ในบ้านเราก็รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายใน ถ้าเรายังอยู่แถวๆ บริเวณประตูอย่างน้อยก็รู้ว่า การตกแต่งภายในเป็นอย่าง ไร และเมื่อเราก้าวเดินสำรวจจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง เราก็จะพบสมบัติพบเฟอร์นิ เจอร์และสิ่งมีค่าทั้งหมดที่อยู่ภายในบ้าน แล้วเราก็อาจไปบอกคนนอกบ้านว่าข้างในมีอะไร คนที่อยู่นอกบ้านเมื่อได้ฟังเรื่อง ราวแล้วก็อาจนำไปเล่าต่อให้คนอื่นฟังว่ามีอะไรอยู่ภายในตัวบ้าน แต่การนำไปเล่าต่อกับการได้เห็นได้สัมผัสจริงๆ นั้นมีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ การอยู่ภายในตัวบ้านยังได้รับประโยชน์ด้านความปลอดภัยจากอันตรายข้างนอกบ้านอีกด้วย
บางคนถามฉันว่า "ฉันก็โอเคแล้ว ฉันไม่ต้อง การรู้แจ้งหรอก รู้ไปทำไม? ถ้าไม่รู้แจ้งจะโอเคไหม?" ฉันก็ตอบว่า "ได้ๆ โอเค" (อาจารย์หัวเราะ) ก็ไม่มีทางเลือกนี่ แต่เวลาที่เราอยู่นอกบ้านบางครั้งก็ปลอดภัยบางครั้งก็มีแสงแดดแต่บางครั้งก็มีฝนตก บาง ครั้งอาจจะมีพายุใต้ฝุ่นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ และเมื่อเรารู้แล้วว่าเรามีบ้านเราก็อาจจะออกมานอกบ้านได้ในบางครั้ง แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นหรือเมื่อเราต้องการกลับเข้าบ้านเราก็กลับเข้าไปได้ มีสิ่งต่างๆ ที่น่าทึ่งน่ามหัศ- จรรย์มากมาย อยู่ในห้องของจิตวิญญาณของเรา ซึ่งทรัพย์สมบัติในโลกนี้ไม่สามารถจะเทียบเท่าได้ไม่มีอะไรในโลกที่จะทำให้เรามีความสุขได้ เท่ากับการที่เราได้ค้นพบความยิ่งใหญ่ที่แท้ จริงของเรา
ทุกๆ คนได้รับส่วนแบ่งของปัญญานี้
ยิ่งเราค้นพบว่าตัวเรามีความยิ่งใหญ่อย่างไร เราก็จะยิ่งถ่อมตัวมากขึ้น (อาจารย์หัวเราะ) เหมือนกับว่าเรื่องนี้มีความขัดแย้งอยู่ในตัว แต่เป็นเช่นนี้จริงๆ และเราจะกลายเป็นเหมือนเด็กๆ เราจะกลายเป็นบุคคลที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามาก นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็คล้ายๆ กับคนที่ซื่อๆ บริสุทธิ์ และดูเหมือนว่าเธอบอกอะไรเขาไป ไม่ว่าจะเป็นความสามารถของเธอ ความทะเยอทะยานของเธอ ความฉลาดหลักแหลมของเธอ หรือปริญญาของเธอ เขาก็จะไม่คัดค้านอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเขาจะพยายามเอาปัญญาของเขามาบังคับกดดันเธอ แต่สิ่งต่างๆ จะเป็นไปเองโดยธรรมชาติหรือเมื่อได้รับการร้องขอ และส่วนใหญ่แล้วหลังจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์พูดอะไรออกมาแล้ว เขาก็จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดไปอย่างสิ้นเชิง อาจจะจำได้เพียงประโยคหนึ่งหรือสองประโยคหรือจำไม่ได้เลย ทั้งนี้เพราะ ว่าปัญญานั้นมาจากแหล่งของจักรวาลซึ่งทุกๆ คนสามารถจะนำมาใช้ได้ มันไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มคนกลุ่มใด มันเป็นของผู้โง่เขลาเท่าๆ กับเป็นของผู้รู้แจ้ง เป็นของเด็กๆ เท่าๆ กับเป็นของผู้สูงอายุ ทุกคนมีส่วนแบ่งรวมอยู่ในปัญญานี้ เพียงแต่ว่าเราจำเป็นต้องปรารถนาที่จะรู้ถึงปัญญานี้อย่างแท้จริงเท่านั้น
เมื่อได้รู้ถึงปัญญานี้แล้ว เราก็ไม่ได้ละทิ้งโลก เราจะไม่ขาดความสนุกสนานของทางโลก แต่เรากลับจะมีความสุขกับโลกนี้มากขึ้นเมื่อมีโอกาส และถึงแม้จะไม่มีโอกาสเราก็มีความสุขเหมือนๆ กัน นี่แหละคือความแตกต่างมันแตกต่างกันเพียงเท่านี้ แต่เพราะว่าเราไม่รู้จักธรรมชาติที่รู้แจ้งของเรา เราก็คอยใฝ่หาอะไรบาง อย่างที่จะทำให้เรามีความสุข หรือเรามัวแต่คิดว่าสิ่งนั้นจะทำให้เราสุข ดังนั้นบางครั้งเราจึงมีความทะเยอทะ ยาน แสวงหาชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ ความสวยงามและความรักอันไม่จีรังยั่งยืน ฯลฯ โดยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสุข จนในที่สุดเราก็ตระหนักแน่ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ได้แต่นำความเศร้าโศกมาให้เราเป็นส่วนใหญ่
ต่อเมื่อเรารู้แจ้งเท่านั้น เราจึงจะมีความสุขในทุกๆ สิ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ยินดี ถ้ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น เราก็รับไว้เหมือนกับเป็นของขวัญจากพระเจ้า เราจะยินดีเต็มที่โดยไม่รู้สึกมีความผิด ไม่ต้องสงวนท่าที ไม่มีอะไรมาขวางกั้นไม่ว่าจะภายในหัวใจหรือในความคิดของเรา ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของบุคคลผู้รู้แจ้งนั้นเป็นอิสระมากไร้ซึ่งความกังวล ง่ายๆ เหมือนกับเด็กๆ ถ้าเธอให้อะไรดีๆ แก่เขา เขาก็จะรับไว้ เขาจะไม่คิดกังวลว่าเธอจะมาหลอกเขา หรือกังวลว่าเขาควรจะได้รับสิ่งนั้นหรือไม่ เขาเพียงแต่รับมันไว้เท่านั้น และเมื่อสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้เรามีความสะดวกสบายหรือมีความร่ำรวยในชีวิต เราก็ยังมีความสุขและดำเนินชีวิตแบบนั้นต่อไปได้ เราจะไม่ปรารถนาความยิ่งใหญ่ทางวัตถุ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พยายามทำอะไรให้สังคมเลย หรือไม่ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองของโลกอย่างดีที่สุด เรายังคงทำและทำทุกสิ่งทุกอย่างเช่นเดิม เราจะทำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเต็มใจทำส่วนของเราให้แก่โลกทั้งโลกอย่างเต็มที่ สิ่งทีต่างไปก็คือเราทำโดยไม่หวังรางวัลตอบแทน ไม่หวังในคำสรรเสริญ และถ้าเราล้มเหลวหรือมีคนเข้าใจผิดในความปรารถนาดีของเรา เราก็ทนได้ เราจะไม่มีความทุกข์ทรมานในหัวใจของเรา
ลูกศิษย์ของฉันหลายคน ฉันหมายถึงเพื่อนบำเพ็ญของเราหลายคน เล่าให้ฉันฟังว่าหลังจากรู้แจ้งแล้ว พวกเขาแตกต่างไปจากเดิมมากพวกเขารู้มากกว่าแต่ก่อน เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนและต่างไปจากสภาพที่เขาเคยเป็นอยู่ ฉันเองนั้นลืมไปแล้วว่าก่อนการรู้แจ้งและหลังการรู้แจ้งนั้นเป็นอย่างไรบางครั้งฉันรู้สึกว่ายากที่จะเข้าใจเรื่องที่พวกเขาพูดกัน (อาจารย์หัวเราะ)แต่แล้วฉันก็มีโอกาสเจอ และได้พูดคุยหรือได้อยู่ร่วมกับคนที่ไม่ได้รับการประทับจิต ถึงตอนนั้นฉันก็เลยเข้าใจเรื่องที่พวกเขาพูดกับฉัน จึงรู้ว่าผู้ที่รู้แจ้งและไม่รู้แจ้งนั้นต่างกันอย่างไร ที่พูดนี้ไม่ได้แบ่งแยกนะ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ เพียงแต่เป็นการอธิบายว่าความจริงเป็นอย่างไรเพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เอามาพูดกันด้วยความภาคภูมิใจ เป็นเพียงการตระหนักรู้ถึงความแตกต่าง ระหว่างคนที่ก้าวเข้ามาในตัวบ้านและคนที่อยู่นอกบ้าน
หนทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสุภาพบุรุษก็คือการรู้แจ้ง
ถ้าฉันไม่ได้มีโอกาสรู้จัก และเข้าใจกลุ่มคนที่มิได้รับการประทับจิตอย่างลึกซึ้งแท้จริง ฉันก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะปกติฉันมองทุกคนเหมือนกับเป็นตัวฉันเอง ฉันไม่ได้นึกว่าฉันรู้แจ้งหรือพวกเขาไม่รู้แจ้ง ฉันไม่ได้มาคอยจดจำเรื่องเหล่านี้เวลาฉันพบปะกับผู้คน และ นี่แหละคือเหตุผลที่บางครั้งนอกจากฉันจะรู้สึกท้อแท้ในการทำงานแล้ว ฉันยังรู้สึกอยู่ในใจว่าไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวสอนใคร ไม่จำเป็นต้องคอยวิ่งไปทั่วโลก ไม่จำเป็น ต้องตอบรับคำเชิญของลูกศิษย์ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก และต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับการอยู่บนเครื่องบิน เครื่อง บินที่มีการสูบบุหรี่ สนามบินที่มีคนเยอะแยะอะไรพวกนี้และยังมีกำหนดการวุ่นวาย ต้องทำโน่นทำนี่มากมายเพราะฉันเคยคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องพวกนี้ แต่พอฉันคิดทำนองนี้ บางครั้งพระเจ้าผู้ทรงอำนาจก็จะเตือนฉันว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น เพราะว่ามันมีความแตกต่างอย่างมาก ระหว่างการที่เธอรู้ว่าเธอมีสมบัติและสามารถใช้มันได้ กับเพียงแค่รู้ว่าเธอมีทรัพย์สมบัติแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนและจะใช้มันอย่างไร เป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นฉันจึงยังเดินทางไปทั่วโลกตามคำขอร้องที่จริงใจของบรร ดาลูกศิษย์ ทั้งนี้ก็เพราะตัวอย่างต่างๆ เหล่านี้ซึ่งทำให้ฉันทราบว่า บางคนยังไม่รู้ว่าตนเองยิ่งใหญ่และเขาเฝ้าคอยที่จะรู้
ไม่ใช่เพราะเราจะต้องการมีความภาคภูมิใจในความยิ่ง ใหญ่ของเรา แต่มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะรู้จักมรดกของเรา เราไม่ควรจะเป็นเพียงแค่เกิดมาในโลกนี้ มาใช้ชีวิตอยู่สักไม่กี่สิบปี ซึ่งต้องวุ่นวายกับปัญหาของลูกและครอบครัว แล้วในที่สุดก็ "คาพุท" จบสิ้นไป (คนหัวเราะ) ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ชีวิตไม่มีอะไรเพิ่ม และยิ่งเลวร้ายกว่านั้นอีก เวลาที่จะต้องจากโลกนี้ไปเราก็ยังต้องทุกข์ทรมาน เราทุกข์เพราะการยึดติดกับสมาชิกในครอบครัวของเรา เราทรมานก็เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหน ทุกข์เพราะกลัวในสิ่งที่เรายังไม่รู้ และคนในครอบครัวทั้งหมด หรือคนที่เรารักทั้งหลาย ก็ได้แต่ยืนอยู่รอบๆ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ได้แต่มองดูเราทุกข์ทรมาน
เพราะฉะนั้น หนทางอันยิ่งใหญ่ของสุภาพบุรุษก็คือการรู้แจ้ง เราต้องรู้ว่าเรามาจากไหนและเรากำลังจะไปไหนอย่างชัดแจ้งชัดเจน เพราะว่าเราคือมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เราใช้ชีวิตอย่างวีรบุรุษ เราดำเนินชีวิตแบบพระเจ้าบนโลกนี้ เราไม่ควรจะมีชีวิตเหมือนกับทาสของเงินทองข้าวของ หรือความอยากได้โน่นได้นี่ ซึ่งโลกได้พยายามเอามาติดไว้ในหัวของเรา เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความอยาก ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความเกลียด เราเกิดมาจากความบริสุทธิ์และความงาม เราจึงควรต้องคงไว้ในสภาพนั้น นอกจากจะบริสุทธิ์แล้วเรายังควรต้องฉลาดมากขึ้น นี่แหละคือหนทางของสุภาพบุรุษ
สิ่งที่พระเยซูและพระพุทธเจ้าสามารถทำได้ เราก็ทำได้ด้วย
ถ้าเรานับถือพระเยซู บูชาพระพุทธเจ้า ถ้าเราอยากจะกราบไหว้บูชาบรรดานักปราชญ์แห่งเทือกเขา หิมาลัยโบราณ เราก็ควรจะรู้ไว้ว่าเราสามารถเป็นได้เหมือนพวกท่าน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยระหว่างตัวเรากับนักปราชญ์ ต่างกันเพียงเส้นผมแค่เส้นเดียว น้อยมาก (อาจารย์หัวเราะ) และเมื่อเราก้าวข้ามไปได้เราก็จะอยู่ในกลุ่มของบรรดานักบุญ และถ้าเราอยู่ข้างหลังห่างไปเพียงเส้นผมเส้นเดียว เราก็เป็นบุคคลผู้โง่เขลา เที่ยวก้มหัวให้แก่ความกดดันทุกอย่างของโลกนี้ กลัวทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคน และไม่รู้ว่าชีวิตของเราก่อนหน้านี้รวมทั้งหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แม้ว่าเรามีตาแต่เราก็เหมือนคนตาบอด เรามีหูแต่ก็เหมือนคนหูหนวก ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้ยินคำสอนจากสวรรค์ ไม่ได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้รับรู้ความยิ่งใหญ่ของเรา เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากถ้าชีวิตของเรายังเป็นอยู่อย่างนั้น
เราอยากจะช่วยโลกเหลือเกิน อยากจะนำสันติ ภาพมาสู่โลก ทำให้โลกกลายเป็นสวรรค์ แต่เราจะทำได้อย่างไรถ้าเราไม่มีปัญญา จะทำได้อย่างไรถ้าเรายังไม่อยู่เหนือเกณฑ์เฉลี่ย เราจะไม่ให้หัวของเราเปียกได้อย่างไรถ้าเราไม่อยู่เหนือน้ำ ดังนั้น การรู้แจ้งจึงเป็นเครื่องมือสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้และชีวิตหน้า เราจะเดิน ทางท่องไปได้กว้างไกลในกาแล็กซี่ของจักรวาล ถ้าเรารู้สิ่งต่างๆ ซึ่งแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดในโลกก็ยังไม่รู้ นี่แหละคือความสามารถของมนุษย์ มนุษย์ที่แท้จริงไม่ใช่เป็นแค่เนื้อและกระดูกเท่านั้น สิ่งที่สา มารถเคลื่อนย้ายภูเขาได้หรือทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ได้นั้น มิ ใช่ลักษณะภายนอกที่ดูสวยงามหรือมีเสน่ห์ แต่เป็นแหล่งปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงพลานุภาพนั่นเอง สิ่งที่พระเยซูได้ทำไปแล้ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าเคยแสดงให้เราดูตอนที่ท่านยังอยู่ในโลกนั้น เป็นเพียงแค่เรื่องตลกเพราะสิ่งที่พระเยซูทำได้หรือที่พระพุทธเจ้าทำได้จริงๆ นั้นเหนือกว่าสิ่งนั้นทั้งหมด มันมีความยิ่งใหญ่กว่านั้นเป็นพันล้าน หมื่นล้านเท่าและเราก็สามารถทำได้
นี่แหละคือสิ่งที่ฉันได้ค้นพบและต้องการจะเตือนให้เธอจำได้ ในขณะที่เราสวดอธิษฐานเราก็มุ่งความสนใจของเราเข้าสู่ภายใน ไม่สนใจความสะดวกสบายหรือข้าวของทางวัตถุมากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทิ้งสิ่งเหล่านี้ เรายังคงอยู่ในบ้านหลังเดิม กินอาหารที่เราสามารถหามาได้ สวมเสื้อผ้าที่เราคิดว่าเหมาะสมแก่โอกาส แต่ความสนใจของเราไม่ได้อยู่ที่สิ่งเหล่านี้อีกต่อไป นี่แหละคือสิ่งสำคัญ ไม่ใช่ว่าสิ่งต่างๆ ทั้งหลายเป็นตัวขัดขวางความเป็นนักบุญของเรา แต่ความสนใจของเรานั่นแหละที่เป็นตัวกีดขวาง ดังนั้น เราจึงควรจะหันความสนใจเข้าสู่ภายใน แล้วเราก็จะรู้ทุกอย่างที่พระเยซูรู้ พระพุทธเจ้ารู้ และบรรดานักปราชญ์ทุกคนทั้งในอดีตและอนาคตรู้ เพราะธรรมชาติของเราเป็นอย่างนั้น
ก็เหมือนเธอเอาเพชรใส่ไว้ในกระเป๋าของเธอ ถ้าเธอเที่ยวมองหาไปทั่ว หรือแม้แต่เที่ยวมองหาไปทั่วโลกเธอก็ไม่มีวันพบมัน ไม่ใช่เฉพาะแต่มองหาที่บ้านของเธอเท่านั้น ต่อให้มองหาไปทั่วโลกเธอก็ไม่มีวันพบเพชรนั้น เพราะเธอไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน (อาจารย์หัวเราะ) ทั้งๆ ที่ตลอดเวลามันอยู่ในกระเป๋าของเธอ โลกไม่ควรจะอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ถ้าพวกเราทุกคนรู้แจ้ง หรืออย่างน้อยสักครึ่งหนึ่งของพวกเรารู้แจ้ง แต่จะยิ่งดีขึ้นถ้าพวกเราส่วนใหญ่รู้แจ้ง ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องสันติภาพ สันติภาพจะมาเอง ไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไรเพราะว่าเรามีปัญญาแล้ว "ปัญญาคือพระเจ้า พระเจ้าคือชุมพาบาลของฉัน ฉันจะไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว" พระเจ้าอยู่ภายในตัวของเรา สิ่งนี้ก็คือพลังอันทรงอานุภาพซึ่งหลับอยู่ข้างใน และเราสามารถจะปลุกให้มันตื่นขึ้นเมื่อใดก็ได้และก็ใช้ประโยชน์จากมันได้ อย่างน้อยก็เพื่อความพอใจของเรา
การรู้แจ้งนำความสุขมาสู่ชีวิต
ผู้ที่รู้แจ้งแล้วไม่เคยรู้จักการไม่พอใจ ไม่รู้จักความอยาก ไม่รู้จักการไม่มีความสุข อย่างน้อยก็เป็นอยู่ไม่นาน บางทีอาจจะเป็นในตอนเริ่มต้นบำเพ็ญใหม่ๆ ถ้าเรายังไม่ค่อยมั่นคงนักในอุปนิสัยของเรา สมองอาจจะยังเอาชนะได้อยู่ ดังนั้นบางครั้งเราอาจจะคิดอยากได้โน่นอยากได้นี่ แต่เราก็รู้ถึงความผิดพลาดของเราในทันที ไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่จะรู้แจ้ง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีความอยาก จึงไม่มีทางที่จะหยุดยั้งมันได้ ดังนั้น ความแตกต่างจึงเห็นได้ชัดเจนมาก
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉันพูดให้เธอฟังจากประสบการณ์ของฉันแต่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากรู้แจ้งแล้วเธอจะนั่งขัดสมาธิสวยงามอยู่บนโซฟาที่ไหนสักแห่งหนึ่ง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นสวรรค์ไม่ใช่อย่างนั้น เรายังจำเป็นต้องมีการให้และรับกรรมตามกฎของสาเหตุและการชดใช้การกระทำนั้นในขณะ ที่เรายังคงอยู่ในโลก แต่เราจะมีพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังเรา ไม่ว่าจะเกิดพายุฝนหรือใต้ฝุ่น เราก็จะมั่นคงปลอดภัยและได้รับความพอใจ เพราะเราทราบดีว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตนิรันดร์ อาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา แต่ไม่มีผลต่อตัวตนที่แท้จริงของเรา ถ้าเราต้องการร่างกายอีกร่างหนึ่งเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ นี่แหละคือความรู้สึกที่มั่นคงมากๆ ของผู้รู้แจ้ง คนที่รู้แจ้งจะทำสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่ากำลังทำอะไรเลย ถึงแม้ว่าทางด้านวัตถุภายนอกเขาได้ให้สิ่งต่างๆ ออกไปมากมายแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขาคือผู้ให้ เขาทนสิ่งต่างๆ มากมายแต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขากำลังอดทนอยู่ เขาอาจจะแสดงอารมณ์ของเขาออกมาเป็นบางโอกาสแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันผิด เพราะมันเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ดังนั้น หนทางของบุคคลผู้รู้แจ้งก็คือ อิสรภาพ คือความสุข และปัญญา นี่แหละคือชีวิตซึ่งพวกเราทุกคนควรจะจำได้เพราะว่านี่คือตัวตนจริงๆ ของเรา ไม่ใช่ชีวิตที่เราคิดว่าเป็นอย่างในปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง กังวลเรื่องค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ไม่ว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ทำให้เราเกิดความวุ่นวายได้ หลังจากเรารู้แจ้งเราก็ยังคงมีใบเสร็จเหล่านี้มาอยู่ดี (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ไม่ต้องสงสัยเลย พระเจ้าจะไม่เอามันไปจากเราเพราะว่ามันเป็นของเรา (อาจารย์หัวเราะ) แต่ทัศนคติและวิธีการเอาชนะสิ่งเหล่านี้จะแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เราจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายมีวิธีการที่ง่ายขึ้นในการจัดการกับข้อเรียกร้องต่างๆ จากรอบด้าน ถ้าเราแสวงหาปัญญาของเราอย่างแท้จริงฉันก็ให้สัญญาในเรื่องนี้ได้ เพราะฉันได้เรียนรู้เรื่องนี้มาแล้วด้วยตัวฉันเอง ไม่ได้เรียนจากหนังสือหรือจากครูคนไหน แต่มาจากประสบการณ์ของตัวฉันเอง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ฉันเล่าให้เธอฟังนี่เป็นความจริงอย่างยิ่ง เป็นเรื่องส่วนตัวและไม่มีการคิดเงินเพราะ ว่ามันมาจากฉัน ฉันไม่ได้ยืมมาจากธนาคารจึงไม่จำเป็น ต้องมีดอกเบี้ย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วเธอก็จะได้ตระหนักในเรื่องเหล่านี้และเรื่องอื่นๆ อีกด้วยตัวของเธอเอง ขึ้นอยู่กับว่าเธอต้องการมากขนาดไหน เธอสามารถทำงานได้แค่ไหน และขึ้นกับพี่น้องร่วมจักรวาลของเธอเห็นว่าเหมาะที่จะมอบให้เธอหรือไม่ ขึ้นกับภารกิจในชีวิตของเธอ และตำแหน่งที่เธอมีอยู่ในโลกนี้ ในบางครั้ง เมื่อผู้ที่เป็นอาจารย์ได้ขึ้นมาถึงระดับของความเป็นอาจารย์พวกเขาเหล่านั้นก็เท่าเทียมกัน แม้กระนั้นก็ตาม เธอก็ยังคงเห็นความแตกต่างระหว่างอาจารย์ท่านหนึ่งกับอีกท่านหนึ่ง เธอจะสามารถเห็นความแตกต่างได้จากการสอนหรือการบรรยายของท่านจากความก้าวหน้าของลูกศิษย์ท่านหรือจากวิธีการที่ท่านอธิบายความเข้าใจเกี่ยวกับการตระหนักรู้ภายใน
เพราะฉะนั้น แม้แต่อาจารย์ด้วยกันเองก็ยังมีความแตก ต่างเล็กๆ น้อยๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีคุณสมบัติแตกต่างกัน แต่เกิดจากมีพื้นฐานต่างกันหรือตำแหน่งต่างกัน ถ้าอาจารย์ท่านหนึ่งสามารถนำสิ่งต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้มากท่านก็มีอยู่มาก ท่านสามารถดึงสิ่งต่างๆ จากภายในมาให้คนอื่นได้จำนวนมาก ในขณะที่อาจารย์อีกท่านหนึ่งอาจจะอยู่ในสภาพ แวดล้อมที่ต่างไปในยุคสมัยต่างไป ประเทศก็ต่างไป จึงจำเป็นต้องใช้คุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่น การพูดการอธิบายน้อยกว่าหรือมากกว่าท่านอื่นๆ ดังนั้น เราจึงมีคำสอนทางด้านศาสนาอยู่มากมายมีชื่อเรียกแตกต่างกัน หรืออยู่ในศาสนาต่างกันแต่ก็ชี้ไปยังสัจธรรมอันเดียวกัน
หลังจากการรู้แจ้งเราจะทราบเรื่องนี้อย่างแน่ชัดเราจะรู้ว่าหลักการสำคัญของทุกศาสนาคือสิ่งเดียวกัน เราจะรู้ว่าพวกท่านสอนอะไรในขณะที่พวกท่านสอนอะไรในขณะที่พวกท่านยังมีชีวิต หมายถึงศาสดาทั้งหลาย เราจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าและพระเยซูก็สอนธรรมวิถีกวนอิมเราจะทราบว่าสิ่งที่เล่าจื๊อกล่าวไว้ในเต๋าเต็กเก็งก็เกี่ยวกับธรรมวิถีกวนอิม เกี่ยวกับแสงและเสียงแห่งสวรรค์ ซึ่งช่วยยกพวกเราขึ้นเหนืออุดมคติทางโลก เหนือเรื่องจุกจิกต่างๆ ของสมองคอมพิวเตอร์ของเรา เพื่อให้เราได้พบกับระดับจิตที่สูงขึ้น แล้วเราก็จะรู้จักตัวเราเอง เราจะรู้จักพระเจ้า วันนี้ฉันมีความสุขมาก ฉันไม่ทราบว่าสิ่งที่ฉันพูดไปนี้จะเหมาะกับพวกเธอหรือเปล่า ฉันเอาแต่พูดๆๆ (อาจารย์หัวเราะและผู้ฟังปรบมือ) ฉันคิดว่าฉันควรจะหยุดพูดก่อนเธอจะได้ถามคำถามและฉันจะได้มีโอกาสอธิบายเพิ่มเติมได้ โอเคไหม? เอานะ? ขอบคุณมาก (คนปรบมือ)
ตอบคำถาม
ถาม: พระเยซูไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ท่านมีพลังที่จะติดต่อมาถึงคนที่มีความเชื่อในตัวท่านในขณะนี้ได้หรือไม่ เราสามารถมีอาจารย์สองคนในเวลาเดียวกันได้หรือไม่? คืออาจารย์ท่านหนึ่งอาจจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่อีกท่านหนึ่งยังคงอยู่ในโลกนี้แต่จะจากโลกนี้ไปในอนาคต
ตอบ: ได้ เรามีได้ ผู้ที่ได้พบกับบุคคลที่เป็นอาจารย์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ และในเวลาเดียวกันก็เป็นอาจารย์ภายในด้วยเป็นผู้ที่โชคดีมาก แต่ในขณะที่เธอพบกับอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่เธอก็ยังสามารถพบกับอาจารย์ที่จากไปแล้วได้ด้วย ถ้าเธอขึ้นไปถึงระดับที่พระเยซูอยู่ในตอนนี้เธอก็จะสามารถเห็นพระองค์ ลูกศิษย์ของเราหลายคนเห็นพระเยซู และหลายคนก็เห็นพระพุทธ เจ้า เป็นอย่างนั้นใช่ไหม? มีใครที่เป็นลูกศิษย์อยู่ที่นี่บ้างไหม...? จริงหรือเปล่า? จริงไหม? (เพื่อนบำเพ็ญตอบว่า: ใช่) โอ เขาตอบว่า"ใช่" อย่างไรก็ตาม บางครั้งชาวพุทธอาจจะเห็นพระเยซูหรือพระแม่มารี และบางครั้งชาวคริสต์ก็อาจเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระโมฮัมเหม็ดก็ได้
ถาม: ฉันจะกดความทะเยอทะยานของฉันซึ่งจะทำให้ฉันเกิดภาวะครอบงำจิตใจของฉันและรบกวนฉันอย่างมากนี้ได้อย่าง ไร?
ตอบ: เป็นเพราะเรายังไม่รู้แจ้งและธรรมชาติแห่งความทะเยอ ทะยานของเรานั้น อันที่จริงมันก็กระตุ้นให้มุ่งสู่การรู้แจ้งไม่มีอะไรอย่างอื่น ไม่ใช่ธรรมชาติซึ่งมีระดับต่ำๆ เพราะเรารู้อยู่ในจิตใต้สำนึกว่าเรายิ่งใหญ่กว่านี้ เราเคยเป็น "ประธานาธิบดีของจักรวาล" ดังนั้น จึงเป็นการยากที่จะคงตัวอยู่ในระดับต่ำๆ ในขณะที่เราอยู่บนโลกนี้เราจึงมีความโลภ มีความทะเยอ ทะยาน ดังนั้นหลังจากการรู้แจ้งแล้วเธอจะรู้วิธีจัดการกับความทะเยอ ทะยานของเธอ เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเธอและโลกนี้ ความทะเยอทะยานไม่ใช่สิ่งที่เลวอะไร ปัญหาก็คือวิธีการจัดการกับมัน ถ้าเราจัดการมันได้อย่างฉลาด จัดการด้วยปัญญามันก็จะเป็นประโยชน์มาก
ถาม: ความสุขคืออะไรและจะอยู่ได้นานแค่ไหน?
ตอบ: (อาจารย์หัวเราะ) พวกเธอทุกคนก็ทราบดีว่าความสุขทางโลกนี้เป็นอนิจจัง มันจะคงอยู่นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับบุคคลและสภาพแวดล้อม ความสุขที่แท้จริงซึ่งได้มาจากธรรมชาติที่แท้จริงของเรานั้นจะคงอยู่ตลอดไป นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากจะแนะนำให้กับเธอเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเธอแล้ว
ธรรมวิถีกวนอิมนำเราไปสู่ต้นตอของสิ่งต่างๆ ทั้งมวล
ถาม: ขั้นตอนการรู้แจ้งเป็นอย่างไร เทคนิคนี้สามารถนำเราไปสู่การรู้แจ้งระดับไหน?
ตอบ: มันจะนำเธอไปสู่ต้นตอของสิ่งต่างๆ ทั้งมวล เป็นที่ซึ่งเธอจากมาและเป็นที่ซึ่งทุกๆ สิ่งจะกลับไป ระหว่างระดับชั้นของโลกนี้มีระดับของจิตหรือระดับของความเป็นอยู่ทั้งหมด 5 ระดับ ถ้าเราได้ฝึกปฏิบัติวิธีแห่งแสงและเสียงจากสวรรค์ และได้รับการนำทางจากครูที่มีประสบการณ์มาแล้ว สามารถผ่านระดับชั้นที่ 5 นี้ไปได้เราก็จะไปถึงที่นั่นซึ่งเป็นบ้านของมหาอาจารย์ทั้งมวล อาจารย์ทุกท่านลงมาจากระดับนี้และเมื่อเสร็จภารกิจท่านก็กลับไปที่นั่น ในอนาคตเราก็จะลงมาช่วยสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถ้าหากเราปรารถนาที่จะกลับมายังโลกนี้ใหม่หรือโลกอื่นๆ ในจักรวาลก็ได้ ดังนั้น ขั้นแรกก็คือรับการประทับจิตแล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาเอง
ถาม: การไปหาพระเจ้านั้นมีอยู่หนทางเดียวก็คือรับการประทับจิตในแสงและเสียงใช่ไหม?
ตอบ: ใช่ นั่นคือการเดินทางช่วงสุดท้ายเธอยังคงมีหนทางอื่นอีกมาก แต่ถ้าเธอไปไม่ถึงที่นั่นเธอก็จะไม่ได้อยู่ที่นั่น ก็เหมือนกับประตูบ้าน ไม่ว่าเธอจะเดินทางจากถนนสายไหนถ้าเธอไม่ได้ผ่านประตูนั้น เธอก็เข้าไปในบ้านไม่ได้ใช่ไหม?เพราะฉะนั้น เราเริ่มต้นจากจุดนี้เลยเพราะว่าเราโชคดีมากกว่าคนอื่น
ถาม: การประทับจิตมีมากกว่าหนึ่งแบบใช่ไหม?
ตอบ: ไม่ใช่ๆ ภายนอกมีแบบเดียวแต่ภายในมีหลายแบบขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น ในเวลาที่มีการประทับจิตผู้ที่เป็นอาจารย์หรือตัวแทนของอาจารย์จะให้คำแนะนำเหมือนๆกัน แต่การประทับจิตไม่ได้มาจากคำแนะนำเหล่านี้ การประทับจิตมาจากภายในจากการตื่นขึ้นของธรรมชาติของเธอเอง แต่ถึงกระนั้นระดับชั้นก็ยังมีความแตกต่างกัน เพราะฉะ นั้นคนสองคนที่นั่งอยู่ในที่เดียวกัน หรือนั่งติดกันก็อาจจะมีระดับชั้นต่างกันอย่างมากมายได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นอาจารย์จะสอนแต่ละคนแตกต่างกัน โดยสอนจากภายในและมีแต่เพียงบุคคลนั้นเท่านั้นที่ทราบ เขาจะรู้อยู่ภายในว่าอาจารย์สอนอะไรเขาและประสบการณ์ของเขาจะต่างไปจากภรรยาของเขา หรือลูก สามี พี่ชาย ฯลฯ เพราะฉะนั้น ถ้าเธออยากจะเรียกว่าเป็นการประทับจิตหลายแบบต่างกันก็ได้ถ้าเธอต้องการ แต่ฉันจะใช้คำว่า 'มันเป็นการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องไปของแต่ละคนที่แตกต่างกัน'
ถาม: ท่านอาจารย์ชิงไห่มีบางเวลาที่ฉันปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไม่มีตัวตนอยู่ กรุณาออกความเห็นในเรื่องนี้ด้วยถ้าท่านมีความเห็นอะไร
ตอบ: โอ ฉันก็เป็นแบบนั้น (อาจารย์หัวเราะ) ฉันก็อยากจะไม่มีตัวตนฉันจะได้ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องเป็น "อาจารย์" ผู้ยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ พวกนี้ แต่เนื่องจากเราเป็นของเราแบบนี้เราก็อยู่ต่อไป อยู่และดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเวลาเดียวกันเราก็ได้รับการรู้แจ้งไปด้วยเพื่อเราจะได้อยู่ในระดับที่มีตัวตนและระดับที่ไม่มีตัวตนไปพร้อมๆ กัน แต่ระดับที่ไม่มีตัวตนนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นความว่างเปล่านะ ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลยแต่เป็นชีวิตที่พร้อมมูลเต็มไปด้วยความสุกใส รุ่งโรจน์ ความสุข และพลังแห่งการสร้างสรรค์ เราจะมีความสุขกับชีวิตแบบนั้นมากกว่าชีวิตที่มีความเป็นอยู่ซึ่งเราเรียกว่าชีวิตมนุษย์นี้แต่เราอาจจะมีได้ทั้ง 2 อย่างในเวลาเดียวกันเป็นสิ่งที่วิเศษมาก วิเศษจริงๆ
ถาม: ลูกๆ ของฉันมีความสำคัญต่อฉันมาก หลังจากประทับจิตแล้วฉันยังคงรักเขาอยู่ได้หรือเปล่า? และไม่ใช่เพียงแค่อยู่ร่วมกับเขาเฉยๆ เท่านั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้างในแง่นี้?
ตอบ: โอ พระเจ้าช่วย (คนหัวเราะ) เธอกลายเป็นเด็กไปเสียแล้วลูกศิษย์ของฉันเขาทิ้งลูกๆ กันหรือ? เขาจัดการกับลูกๆ อย่างไรกัน? เธอจัดการกับลูกๆ อย่างไรหลังจากประทับจิต? เธอรักเขาได้หรือเปล่า? (ผู้ฟัง: รักเขามากยิ่งขึ้นอีก) เขาตอบว่าเขารักลูกมากกว่าแต่ก่อนอีก เพราะฉะนั้นเอก็จะปลอดภัยแน่! โอเคไหม? เก็บรักษาลูกๆ ของเธอไว้ไม่ต้องกังวล แน่ไม่อยากได้หรอก (อาจารย์หัวเราะและผู้ฟังปรบมือ)
ถาม: ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนทางจิตวิญญาณ (soulmate) หรือเปล่า? ถ้ามีจะมีความหมายสำคัญทางจิตวิญญาณอย่างไรสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?
ตอบ: เพื่อนทางจิตวิญญาณคือบุคคลซึ่งเมื่อเธอพบ เธอก็รู้สึกมีแรงดึงดูดเข้าหากันและกัน และเธอทั้ง 2 คนจะช่วยเสริมชีวิตของกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนทางของการบำเพ็ญ นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนทางจิตวิญญาณ แต่ในโลกซึ่งมีแต่หนึ่งไม่มีสองนี้มันไม่มีวิญญาณหรือไม่มีเพื่อนอะไรหรอก เป็นเพียงแต่คำพูดของทางโลกเท่านั้น เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เธอรู้สึกว่าเป็นบุคคลที่น่าสนใจมากสำหรับเธอ และสามารถช่วย เหลือเธอได้มากในกิจกรรมชีวิตประจำวันรวมทั้งด้านการบำเพ็ญ ผู้นั้นก็คือเพื่อนทางจิตวิญญาณของเธอ...ในขณะที่เธอยังอยู่ที่นี่ถ้าเธอต้องการเพื่อนอยู่ เข้าใจไหม?
อาจารย์ที่แท้จริงจะปลุกตัวตนภายในที่แท้จริงของเธอให้ตื่นขึ้น
ถาม: เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นอาจารย์แท้หรืออาจารย์เทียม?
ตอบ: โอ! เรื่องนี้ฉันไม่รู้ ฉันยังไม่เคยพบอาจารย์เทียมฉันพบแต่อาจารย์ที่แท้จริง แท้หรือเทียมขึ้นอยู่กับตัวเธอ มีอยู่หลายวิธีที่จะรู้ว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง เมื่อผู้ที่ได้ชื่อว่าอาจารย์ยึดติดอยู่กับเพียงบางส่วนของสัจธรรมและละทิ้งส่วนอื่นๆ ที่เหลือ และสอนลูกศิษย์เฉพาะส่วนนั้นเท่านั้นแบบนี้เราเรียกว่าอาจารย์เทียม แต่จริงๆ แล้วชื่อนี้ไม่ถูกต้องน่าจะเป็น "อาจารย์บางส่วน" มากกว่า หรือ "อาจารย์ไม่เต็มเวลา"(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ไม่ใช่เทียม และเมื่อผู้ใดสอนสัจธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ภายในตัวของเธอ และปลุกสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของเธอให้ตื่นขึ้นนี่แหละคืออาจารย์ที่แท้จริง ธรรมชาติที่แท้จริงของเธอคืออะไร? อาจารย์ที่แท้จริงภายในตัวเธอคืออะไร ก็คือพระเจ้า เป็นจิตศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอาศัยอยู่ภายในโบสถ์ของเธอ ในวัดของเธอ (หมายถึงร่างกาย) และเมื่อพระเจ้านั้นแสดงตนออกมา เราจะสามารถได้ยินคำสอนของท่านโดยอาศัยดนตรีแห่งสวรรค์ เราสามารถเห็นท่านด้วยภาพโดยการเห็นแสงสว่างอันเจิดจ้า บางครั้งเหมือนดวงอาทิตย์เป็นพันๆ ดวง นั่นแหละคือธรรมชาติที่แท้จริงของเรา เมื่อมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าอาจารย์คนไหนสามารถปลุกปัญญาแห่งสวรรค์ แรงสั่น สะเทือนแห่งสวรรค์และแสงแห่งสวรรค์ซึ่งอยู่ภายในตัวเธอ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของเธอเป็นอาจารย์ของเธอเอง อาจารย์ผู้นั้นก็คืออาจารย์ที่แท้จริงเราจะต้องรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเราเอง
ถาม: เกี่ยวกับข้อปฏิบัติห้าข้อ (ศีลห้า) ซึ่งจะต้องกระทำจึงจะได้รับการประทับจิตนั้น หากเราไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้น?
ตอบ: ถ้าเธอไม่ได้ปฏิบัติตามนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเธอไม่ได้ปฏิบัติฉันจะทำอะไรได้ ก็ลองพยายามดูใหม่ โอเค? ถ้าเธอคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเธอ ดีสำหรับผู้อื่นและเป็นเหมือนเกราะป้องกันความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณของเรา เราก็ปฏิบัติไปตามนั้น โอเค และอย่าทำให้ความบริสุทธิ์ของเธอซึ่งเพิ่งจะเติบโตขึ้นมาได้รับความเสียหายแต่ถ้าเธอไม่ปฏิบัติก็ไม่มีใครมาประณามเธอหรือทำอะไรเธอ ยกเว้นแต่จิตสำนึกของตัวเธอเอง เพราะฉะนั้นก็ลองพยายามดำเนินชีวิตให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ และถ้าเธอพลาดก็ลุกขึ้นและพยายามใหม่
ถาม: วิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดที่จะไปสู่การตระหนักรู้ในตนเอง และการตระหนักรู้ในพระเจ้าคือวิธีไหน?
ตอบ: วิธีนี้แหละ เขาไม่ได้เขียนไว้หรือ? "รู้แจ้งฉับพลัน" "ธรรมวิถีกวนอิม" นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด ง่ายที่สุด และเร็วที่สุด เธอจะรู้แจ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่มีข้อแม้ ในวันนี้หลังการบรรยายนี้เลย โอเค? และถ้าเธอไม่ได้รู้แจ้งทันทีก็ยินดีรับประกันเอาเงินคืนได้ (คนหัวเราะและปรบมือ) โอ แต่เดี๋ยวก่อน จริงๆ แล้วเราก็ไมมีการรับประกันคืนเงินหรอก เพราะเราไม่คิดเงินเลยแม้แต่เพนนีเดียว (คนหัวเราะและปรบมือ)
ถาม: เราจะป้องกันตัวเราจากความรุนแรงของธรรม ชาติ และความรุนแรงของมนุษย์ได้อย่างไร?
ตอบ: เราไม่จำเป็นต้องป้องกันตัวเราเลย เรามีอะไรที่น่าปกป้องนัก? ก่อนเธอจะเกิดมาเธอมีอะไร? หลังจากเธอตายไปแล้ว เธอจะเอาอะไรไปได้บ้าง? มีอะไรที่มีค่าเหลือเกินที่เราควรจะต้องปกป้องไว้หรือ? โยนทุกอย่างทิ้งไปให้หมด ปล่อยให้มันเป็นไปตามเรื่องจะมีอะไรเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิด ถ้าร่าง กายของเธอตายไปเน่าเปื่อยไป เธอก็ยังมีอีกหลายร่างหลายพันล้านร่างไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ถ้าของสิ่งใดควรจะต้องเป็นของเธอๆ จะไม่สามารถกำจัดมันด้วยซ้ำ ถ้าหญิงสาวคนนั้นควรจะต้องเป็นคู่หมั้นของเธอก็ไม่มีใครฉวยเธอเอาไปได้ ถ้างานนั้นจะต้องเป็นของเธอเป็นประกาศิตจากสวรรค์ก็ไม่มีใครมาแทนที่เธอได้ อย่าไปกังวลทำตัวตามสบายให้เรารู้แจ้งดีกว่า (คนปรบมือ) ความกลัวต่างๆ เหล่านี้ทำให้เราต้องอยู่ห่างจากชีวิตที่มีความสุขและชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความ รู้สึกผิดผิด ความขัดแย้ง การแสร้งทำทั้งหลายผุดขึ้นมาจากความกลัวของตัวตนนี้ ของตัวอัตตานี้ มันจะบอกว่าฉันมีสิ่งนี้ ฉันมีสิ่งนั้น ฉันเสียหน้าไม่ได้ ฉันทำสิ่งนั้นไม่ได้เพราะฉันอยู่ในตำแหน่งนี้ ฉันด่าคนไม่ได้เพราะว่าฉันเป็นอาจารย์ ฉันควรจะต้องทำตัวให้สง่างามพูดนุ่มๆ อ่อนโยน ฯลฯ ขอให้เหวี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปและทำตัวให้อยู่ในปัจจุบัน จำเป็นจะต้องทำอะไรตอนนั้นก็ทำอย่างเต็มที่ โดยมีความเชื่อมั่นในพระเจ้า มีความเชื่อในแผนการของจักรวาล เข้าใจไหม? (ผู้ฟัง: เข้าใจ) ถาม: ศาสนาคริสต์สอนเราว่าเราทุกคนเป็นบาป ถ้าเรารู้แจ้งแล้วเราจะยังเป็นคนบาปอยู่หรือไม่? ถ้ายังเป็น อยู่มันจะมีวันสิ้นสุดไหมการเป็นคนบาปของเรานี้น่ะ?
ตอบ: ใช่ เราเป็นคนบาปเพราะว่าเราเชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่มีวิธียกตัวเราเองขึ้นมาเหนือระดับของความบาป เหนือโคลนตม ถ้าเธออยู่ในโคลนแน่นอน เธอก็ต้องดูสกปรกไม่ใช่หรือ? ถ้าเธอขึ้นมาโคลนจะทำอะไรเธอได้ ไม่ว่าโคลนจะยังคงอยู่ที่เดิมหรือไม่ก็ตาม เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นเอต้องขึ้นมา ต้องรู้แจ้ง (คนปรบมือ)
ถาม: มนุษย์ที่รู้แจ้งแล้วและอยู่ในสังคมที่มีความขัด แย้งจะสามารถช่วยขจัดความขัดแย้งในสังคมได้อย่างไรกัน?
ตอบ: เป็นเรื่องที่ยากมาก เราทำได้เพียงแค่ขจัดความขัดแย้งภายในตัวเราออกไป ถ้าทุกคนทำเช่นนั้นก็จะไม่มีความขัดแย้งที่ต้องขจัด ดังนั้น แม้ว่าพระเยซูจะยิ่งใหญ่มาก พระพุทธเจ้าก็ทรงยิ่งใหญ่มาก แต่ท่านเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถขจัดความขัดแย้งในประเทศของท่านได้เลยและบางครั้งภัยพิบัติก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตของท่านด้วยซ้ำ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ในโลกยังไม่อยู่ในความสงบสุข ยังไม่รู้แจ้ง ดังนั้น การรู้แจ้งจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะใช้สำหรับความป่วยไข้ทุกชนิดของโลกนี้ สำหรับสงครามและความขัดแย้ง ไม่มีอะไรที่จะเป็นนอกเหนือจากนี้
ธรรมชาติที่แท้จริงไม่ได้อยู่กับสิ่งใด ฝุ่นไม่มีทางจะเกาะมันได้
ถาม: ฉันได้ยินหลายคนกล่าวว่า เมื่อท่านรู้แจ้งแล้ว ท่านควรจะต้องโกนผมและไม่แต่งหน้า (คนหัวเราะ) ท่านคิดอย่างไรกับคำกล่าวหรือคำวิจารณ์นี้?
ตอบ: พวกเธอคิดอย่างไรล่ะ ถูกต้องไหม? (ผู้ฟัง:ไม่ถูก) ไม่ถูก พวกเขาบอกว่าไม่ถูก (คนหัวเราะและปรบมือ) ฉันจะให้เธอได้เกรด A (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แจ๋วมาก เยี่ยมมาก ฉันชอบ เป็นสิ่งที่งดงามมากพวกเธอยังมีใจเปิดกว้างมาก รู้แจ้งมาก อย่างน้อยก็มากระดับหนึ่ง ถ้าความสนใจของเธอยังยึดติดอยู่กับสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มีก็ตามเธอก็ขัดขวางตัวเธอเอง จริงไหม? ธรรมชาติของเธอไม่ได้ยึดอยู่กับสิ่งใด ไม่มีฝุ่นที่ไหนจะมาจับธรรมชาติของเธอได้ โอเค? ไม่มีเครื่องสำอางอะไรจะมาบดบังธรรมชาติแห่งพุทธะของเธอได้ ไม่มีลิปสติกที่ไหนจะมาทำให้แสงแห่งสวรรค์พร่ามัวได้ ถ้าเธอมีตาเธอจะเห็นว่าตอนนี้ฉันมีแสงเปล่งออกมา แม้ว่าฉันจะเอาถ่านทั้งกล่องมาทาหน้าของฉันทำให้ตัวฉันดำไป ฉันยังคงขาวและสว่างเจิดจ้า (คนปรบมือ)
เพราะฉะนั้นถ้าเธอโกนหัวของเธอๆ จะรู้แจ้งอย่างนั้นหรือ เป็นอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมเธอไม่ทำล่ะมันง่ายจะตายไป (คนหัวเราะ) เธอก็ทำแบบนั้นให้หมดทุกคนเลย สตีฟ! ผมของเธอยาวเกินไปสำหรับการรู้แจ้งแล้ว (คนหัวเราะและปรบมือ)พระเจ้าไม่สนหรอกว่าผมของเธอจะยาวหรือสั้น เหลวไหล (คนหัวเราะ) มิฉะนั้นแล้ว พวกนางงามจักรวาลทั้งหลายก็คงจะรู้แจ้งไม่ได้สิ อย่างนั้นหรือ? (อาจารย์หัวเราะ) ถ้าเราพูดแบบนั้นไป พวกร้านตัดผมทั้งหลาย ร้านเสริมสวยทั้งหลายก็ต้องปิดกิจการแน่ เราก็จะทำให้เกิดภาวะว่างงานมากยิ่งขึ้นไปใหญ่ (คนหัวเราะ) โอๆ ถ้าฉันเทศน์สอนแบบนั้นคุณคลินตันคงไม่มีความสุขแน่ (คนหัวเราะ) เขาคงไม่อนุญาตให้ฉันเข้ามาเทศน์สอนในอเมริกาแน่
ถาม: อัตตาเป็นพลังที่แข็งแรงมาก เราจะชนะอัตตาได้อย่างไร?
ตอบ: โดยการรู้แจ้ง อัตตาคือ การเอาความสนใจมายึดติดกับตัวตนที่เล็กๆ เช่น "โอ! ฉันเป็นหมอ ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ ฉันเป็นครู ฉันเป็นคนโน้นคนนี้ ซึ่งมีตำแหน่งสูงๆ" นั่นแหละคืออัตตา แต่เมื่อเรารู้จักตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อัตตาก็จะหลบหายไปข้างใน เพราะว่าเราไม่ได้เป็นแค่หมอ เราเป็นพระเจ้าหรืออย่างน้อยก็เป็นลูกๆ ของพระเจ้า เราเป็นพุทธะ โอเค? นี่แหละคือวิธีเดียวที่จะหลอมละลายอัตตาโดยใช้กรอบของตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
ถาม: แหล่งต้นตอของโลกนี้คืออะไร
ตอบ: อืมม (อาจารย์หัวเราะ) มันต้องใช้เวลาที่จะวิจัยเรื่องนี้ จริงไหม? ทำไมเธอไม่ใช้ชีวิตของวันนี้ ให้เรารู้แจ้งแล้วเราก็จะเห็นด้วยตัวเราเอง เพราะถ้าฉันบอกเธอจะต้องใช้เวลานานมาก เธอก็รู้ว่าโลกของเรานี้ถ้าพูดตามหลักภูมิศาสตร์ก็มีอายุเป็นหมื่นๆ ล้านปีแล้ว ถ้าเธออยากจะวิจัยเรื่องนี้ฉันคงไม่มีเวลาบรรยาย ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? แต่ความจริงที่เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโลกนั้นอยู่ภายในตัวเรา เรามีห้องสมุดอยู่ภายในถ้าเราขึ้นไปถึงระดับที่ 2 เธอก็จะดูมันได้ แล้วเธอก็จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เพียงแค่โลกนี้เท่านั้น แต่จะรู้เกี่ยวกับโลกอื่นๆ มากมายในจักรวาล
ถาม: ท่านอาจารย์ชิงไห่ ถ้าใครได้รับการประทับจิตจากท่านแล้ว ก็จะต้องเป็นลูกศิษย์ของท่านตลอดไปหรือไม่? งานของลูกศิษย์คืออะไร?
ตอบ: งานของลูกศิษย์ของเราก็คือการมาเป็นอาจารย์ (คนหัวเราะ) เพราะ ฉะนั้น เธอไม่จำเป็นต้องเป็นลูกศิษย์ของฉันด้วยซ้ำ เธอเองก็เป็นอาจารย์อยู่แล้วเพียงแต่เธอไม่รู้ ดังนั้น ฉันจึงบอกวิธีให้เธอจำตนเองได้อีกครั้งหนึ่งเท่านั้นแหละ จริงๆ แล้วไม่มีลูกศิษย์ คำนี้เป็นเพียงชื่อเรียกซึ่งเราใช้เรียกตัวเราในโลกแห่งวัตถุนี้
ถาม: ขอให้ท่านกรุณาอธิบายให้ฉันฟังว่าจิตใจคืออะไร?
ตอบ: จิตใจไม่ใช่อะไรเลย เป็นเพียงความคิดต่างๆ และข้อมูลที่เรารวบรวมไว้ในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเราติดต่อสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ และเราเรียกสิ่งนั้นว่า "ตัวตน" หรือ "จิตใจ" แล้วเราก็เริ่มยึดติดกับสิ่งนั้นและพูดว่า "โอ! ฉันเป็นแบบนั้น ฉันแปรงฟันวันละ 3 หน นั่นแหละตัวฉัน" ฯลฯ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้คืออะไรกัน เป็นเพียงข้อมูลที่รวบรวมไว้เท่านั้น ก่อนที่เธอจะเกิดมาเธอไม่เคยแปรงฟันของเธอๆ ไม่มีฟัน (คนหัวเราะ) นั่นคือตัวอย่าง เธอเข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น จิตใจนี้ไม่มีอะไรเลย และเราคงจะไม่ฉลาดเลยถ้าจะมัวแต่ฟังสิ่งที่เรียกว่าจิตใจนี้ มันเป็นเพียงนิสัยที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูลจากคนอื่นๆ จากสังคม และจากความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันทำให้เราคิดว่าเราเป็นแบบนั้น "โอ ฉันต้องกินนี่ ฉันต้องดื่มกาแฟเพราะว่านั่นคือตัวฉัน เป็นวิธีการของชีวิตของฉัน นี่แหละตัวฉัน" แต่ตัวฉันนั้นคือใคร? ใครดื่มกาแฟก่อนที่เธอจะเกิดมา? เมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนนี้ ยังไม่มีกาแฟเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเชื่อถือไม่ได้เป็นสิ่งไร้สาระมาก มันไม่ใช่ตัวเธอเอง แต่นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่เรียกว่า "ตัวฉัน" นี่แหละคือจิตใจ
ถาม: เมื่อท่านรู้แจ้งแล้ว ท่านอาจจะสูญเสียการสำนึกถึงการรู้แจ้งของท่านได้หรือไม่?
ตอบ: โอ ได้ เป็นไปได้ ใช่ เมื่อตอนเธอนอนหลับ บางครั้งเมื่อเธอนั่งสมาธิแล้วเธอก็นอนหลับและแสงก็มา การรู้แจ้งก็มาแต่เธอก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รับรู้มันแต่ตอนที่เธอไม่ได้นอนหลับเธอก็จะรู้ โอเค?
ถาม: เราจะหยิบยื่นสันติภาพให้แก่ผู้ที่เคยเป็นศัตรูของเราได้โดยเร็วอย่างไร?
ตอบ: ก็กอดเขา จูบเขา ให้ลูกอมแก่เขา (คนหัวเราะและปรบมือ) นี่แหละคือสิ่งที่ฉันทำเมื่อเช้านี้ เพราะบางคนไม่สามารถจะรู้แจ้งได้ด้วยคำพูด หรือการอธิบาย หรือแม้แต่การประทับจิต บางคนเพียงแต่ต้องการความรักโดยตรง ทั้งทางด้านร่างกาย ความคิด รวมทั้งอารมณ์ด้วย
ถาม: ฉันจะหนีจากเนื้อหนังของฉัน และหมดความต้องการเรื่องเพศตรงข้ามได้อย่างไร?
ตอบ: โอ! อย่าหนีมันไป (คนหัวเราะ) มิฉะนั้นแล้ว เราก็คงไม่มีลูกกันอีกต่อไป พยายามอดใจไว้ มีคู่เพียงคนเดียวเท่านั้น โอเค? ถ้าเธอมีกัลยาณมิตรซึ่งเธอพบว่าดีต่อตัวเธอ ความรักทั้ง 3 มิติ คือ ร่างกาย อารมณ์ และความคิดก็เป็นสิ่งที่ดี จากนั้นความต้องการทางเนื้อหนังจะค่อยๆ ลดความรุนแรงในตัวเธอลงไป หลังจากที่เราควบคุมสัมพันธภาพอันมั่นคงในชีวิตสมรสได้แล้ว เธอเข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนั้นมันจะค่อยๆ ตายลงไป มันจะหมดเสน่ห์ลงเพียงแต่อดใจให้เย็นๆ ไว้ เพราะฉะนั้น มีคู่เพียงคนเดียวแค่นั้นก็พอแล้ว (คนปรบมือ)
ถาม: เราจะช่วยเหลือคนที่กำลังป่วยหนักอย่างดีที่สุดได้อย่างไร?
ตอบ: บางครั้งเราก็มีปัญหาได้ บางครั้งรถอาจจะไหม้ บาง ครั้งยางแตก บางครั้งตัวถังมีรอยขูดอะไรแบบนี้ เธอทำอย่างไรกับรถของเธอล่ะ ก็พยายามซ่อมแซมมันไปร่างกายก็เช่นเดียว กัน และถ้าหากรถนั้นซ่อมไม่ได้แล้วมันอาจจะต้องใช้เงินในการซ่อมแพงกว่าที่จะซื้อคันใหม่ ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อคันใหม่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ?ร่างกายของเราก็เช่นเดียวกัน อะไรที่เธอสามารถจัดการกับรถได้ รถคันนี้ หมายถึงร่างกายนี้ก็ทำไป ถ้าทำไม่ได้ก็ปล่อยมันไป และพระเจ้าก็จะให้รถคันใหม่แก่เธอส่วนใหญ่เอาแต่สนใจรถคันนี้กันมากเหลือเกิน และเขาก็เกิดมีการฆ่ากันเพื่อให้รอดชีวิตก็เพราะรถคันนี้ ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ซึ่งค้านกับจิตสำนึกของเราก็เพราะรถคันนี้ ดังนั้นเราจึงต้องตระหนักให้ดีว่า มันเป็นเพียงแค่เครื่อง มือชิ้นหนึ่ง ก็เหมือนกับรถที่เธอซื้อนั่นแหละ
ถาม: ถ้าบุคคลหนึ่งมีความปรารถนาที่จะได้รับการหลุดพ้นหรือออกไปพ้นจากโลกทั้งสามนี้ ความปรารถนาแบบนี้ตากต่างจากความปรารถนาทั่วไปหรือไม่?
ตอบ: ถูกต้องมันแตกต่าง เพราะเมื่อมีความปรารถนานี้เพียงอย่างเดียวความปรารถนาอื่นๆ ทั้งหมดก็ตายไป มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะมีความต้องการหลายอย่างเกินไป เข้าใจไหม? แล้วเราก็จะมีปัญหา เพราะเราจะถูกดึงจากทิศทางต่างๆ คนละทิศ ในขณะที่ถ้าเรามีความปรารถนาที่จะมุ่งขึ้นไปสูงๆ เพียงอย่างเดียว เราก็จะถูกดึงขึ้นและเราก็จะมีความสุข เราจะได้ไปถึงธรรมชาติอันสูงส่งของเรา
ถาม: ความรักทำให้มัวเมาหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้นเราควรจะต้องงดเว้นจากมันหรือไม่ตามศีลข้อที่ 5?
ตอบ: โอ! ไม่ๆๆ! ความมัวเมานี้หมายถึงยาเสพติด แอลกอ ฮอล์และสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เธอเสพติดทำให้เธอกลายเป็นทาสและยังทำให้สายตาของเธอพร่ามัว ทำลายเซลล์สมองของเธอ ทำลายความสามารถในการคิด การเห็น และการกระทำที่แจ่มชัด พวกนี้คือยาเสพติดเป็นสิ่งที่ทำให้มัวเมา
ถาม: เราจะได้พลังงานจากการนั่งสมาธิโดยวิธีไหน?
ตอบ: วิธีซึ่งไม่ต้องออกแรง พลังงานจากการนั่งสมาธิมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว โดยอาศัยพลังที่เราได้รับเมื่อเราได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ท่านหนึ่ง พลังนั้นก็ตื่นขึ้น ดังนั้น เรานั่งสมาธิด้วยวิธีการที่เราเรียกว่าธรรมวิถีกวนอิม ซึ่งไม่ใช่เป็นวิธีการอะไรเลย เราได้รับพลังงานโดยตรงโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นการกระทำซึ่งไม่ต้องออกแรง นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด เป็นวิธีตามธรรมชาติ เพาะว่าเราได้รับในสิ่งที่เรามีอยู่ เราไม่ได้ยืมใครมา เราไม่ต้องพยายาม เราไม่ได้ขโมย เราไม่ได้บังคับให้มันเกิดขึ้นแต่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นก็เพราะมันมีอยู่แล้ว
ถาม: การรู้แจ้งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พุทธะแบบเซ็น ใช่หรือไม่?
ตอบ: ใช่ ถ้าเธอต้องการชื่อนี้มากเหลือเกิน
ถาม: มีโอกาสเป็นไปได้ไหมที่มนุษย์ซึ่งรู้แจ้งเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ จะสามารถส่งผลกระทบทำให้คนจำนวนมากที่หลับอยู่หรือหลงทางไปได้ตื่นขึ้น?
ตอบ: ได้ๆ พวกเขาจะทำให้เกิดผลกระทบบางอย่าง ถูกต้อง แต่แน่นอนสิ่งที่ดีที่สุดก็คือคนส่วนใหญ่สามารถตื่นขึ้นมาได้
การรู้แจ้งฉับพลันภายหลังการประทับจิต
ถาม: โปรดกรุณาพูดถึงเรื่องกรรมหน่อย เราสลายหนี้กรรมของเราที่มีอยู่ก่อนได้อย่างไร และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการรู้แจ้งอย่างไร?
ตอบ: จะสลายหนี้ที่มีอยู่อย่างไรใช่ไหม? กรรมเป็นคำสันสกฤตซึ่งหมายถึงกฎที่ว่า "หว่านพืชอะไร ก็จะได้ผลอย่างนั้น" ซึ่งเป็นกฎของจักรวาลในระดับล่าง เมื่ออาจารย์ประทับจิตให้แก่เธอ ท่านก็ดึงเธอขึ้นมา ดังนั้น กรรมที่อยู่ข้างล่างก็จะถูกเผาไหม้ไปโดยไม่มีผลต่อตัวเธอ แต่ยังให้เธอมีกรรมเหลืออยู่นิดหน่อยเพื่อให้เธอดำเนินชีวิตต่อไปได้และชีวิตก็จะราบรื่น และได้รับการหล่อลื่นจากพลังของอาจารย์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ภายหลังการประทับจิตเธอก็ไม่มีกรรมสะสมอีกต่อไป เธอจึงไม่ต้องกลับมากเกิดใหม่ ก็เป็นเรื่องง่ายมากเราสามารถจะสร้างกรรมหรือสามารถยืมกรรมได้จากสรรพสัตว์อื่นๆ จำนวนมาก เพื่อจะได้ลงมาได้ ดังนั้น การประทับจิตจึงเป็นการทำลายกรรมทั้งหมดในอดีต จึงไม่มีโอกาสที่จะกลับมาได้ใหม่ในอนาคต
ถาม: คำว่า "รู้แจ้งฉับพลัน" หลังการประทับจิตนั้น ท่านหมายความว่าอย่างไร?
ตอบ: ฉันหมายถึงการรู้แจ้งแบบ "ฉับพลัน" "ทันที" เหมือน กับแบบนี้ โอเค? (อาจารย์ดีดนิ้ว) ถ้าฉันแสดงให้เธอเห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของเธอแล้ว เธอจะสามารถหยิบมันออก มาได้ทันทีหรือเปล่า? (ผู้ฟัง: ได้) เป็นแบบนี้แหละ เพราะว่าเธอมีมันอยู่ภายในตัวเธอ ฉันเพียงแต่ชี้ให้เธอรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เธอก็เอามันออกมาได้
ถาม: ท่านอาจารย์ทุกวันนี้มีคนเป็นจำนวนพันๆ ล้าน ซึ่งจะผ่านชีวิตนี้ไปโดยไม่ได้รับการประทับจิตจากท่าน หมายความว่าคนเหล่านี้จะไม่สามารถรู้แจ้งในชาตินี้ด้วยวิธีการอื่นเลยหรือ?
ตอบ: ได้ ทำได้ เขาทำได้ แต่ทำได้ในระดับที่แตกต่างกัน เข้าใจไหม? บางครั้งเมื่อสวดอธิษฐานอย่างตั้งใจ เขาก็อาจจะได้รับการรู้แจ้งแวบหนึ่ง แต่มันริบหรี่หน่อย และบางครั้งก็หายไปได้ แล้วเขาก็อาจจะไม่รู้อย่างชัดเจนว่าสวิตซ์อยู่ไหน เธอสามารถเปิดมันเมื่อไรก็ได้ที่เธอต้องการ และเธอจะอยู่ภายในกรอบของแสง แต่การรู้แจ้งจากวิธีการอื่นๆ อาจจะไม่ถาวรเสมอไป และบางครั้งก็อันตรายเพราะเขาไม่รู้วิธีการจัด การกับพลังงานซึ่งค้นพบใหม่ เพราะฉะนั้นบางคนจึงมีปัญหาทางสมอง และมีอะไรแปลกๆ อีกหลายอย่าง หรือมัวแต่เพลินอยู่กับอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นพลังระดับล่างๆ ก็เลยกลาย เป็นนักอิทธิปาฏิหาริย์ คนรักษาโรค หรืออะไรอย่างอื่นโดยไม่สามารถไปถึงระดับจิตขั้นสูง เพราะว่าหากไม่ได้รับการนำทางจากอาจารย์ เราก็ไม่รู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปไหน แล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลานและเล่นอยู่กับสิ่งต่างๆ มากมายและบางครั้งก็อัน ตราย เพราะว่าหนทางแห่งหารรู้แจ้งเพราะว่าหนทางแห่งการรู้แจ้งนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์กลและหลุมพราง ซึ่งเราควรต้องหลีก เลี่ยง แต่เมื่อได้รับการนำทางอย่างมีประสบ การณ์มันก็ง่ายกว่า เร็วกว่า ปลอดภัยกว่า แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะ? โลกก็เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นมันถึงยังเป็นโลกนี้อยู่ ถ้าคนในโลกรู้แจ้งกันหมดเราก็ไม่เรียกว่า "โลก" อีกต่อไป เราจะเรียกว่า "สวรรค์" เข้าใจไหม? และบรรยากาศรอบตัวเราจะต่างไปจากเดิม ทุกๆ สิ่งจะต่างไป ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาอาหาร เราไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีอยู่เหมือนในสวรรค์ เพราะผลบุญของเราจะแตกต่างออกไปหลายเท่าทวีคูณ เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มีเพียงไม่กี่ล้านคนเท่านั้นที่รู้แจ้ง ผลของมันไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมประชากรทั่วโลก เข้าใจไหม? ดังนั้น เราจึงยังมีภัยพิบัติ ยังมีสงคราม ถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าแต่ก่อนก็ตาม การเมืองก็ลดความเข้มข้นลง โอกาสที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 4 ที่ 5 ก็ห่างไปจากปัจจุบันแล้ว เพราะในศตวรรษนี้คนส่วนใหญ่มีการตระหนักรู้สูงส่งขึ้น เนื่อง จากสื่อมวลชน ระบบการกระจายข่าวเกี่ยวกับข่าวสารการรู้แจ้งของอาจารย์ไปทั่วโลก และเนื่องจากคนจำนวนมากเข้ามาร่วมในกลุ่มของนักปราชญ์ผู้รู้แจ้ง เพราะฉะนั้นโลกเราจึงดีขึ้น
ถาม: พระเยซูไม่ได้กล่าวถึงเฉพาะสิ่งดีๆ เช่น สันติ ภาพ ความรัก ชีวิตนิรันดร์เท่านั้น พระองค์ยังกล่าวถึงสิ่งที่น่ากลัวเกี่ยวกับการลงโทษชั่วนิรันดร์ด้วย ท่านเชื่อว่าพระเจ้าจะลงโทษใครสักคนไปชั่วนิรันดร์หรือไม่?
ตอบ: ไม่ ตัวเขานั่นแหละลงโทษตัวเอง ถ้าเขาปฏิเสธแสงสว่างเขาก็ต้องอยู่ในความมืด และตราบใดที่เขายังปฏิเสธอยู่เขาก็จะยังคงอยู่ในความมืด เขาอาจจะอยู่ไปตลอดนิรันดร์ก็ได้ถ้าเขาปฏิเสธแสงสว่างไปตลอดนิรันดร เพราะฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับแต่ละคน (คนปรบมือ)
ถาม: ในฐานะที่เป็นมนุษย์บนโลก เรามีหน้าที่ที่ต้องกระทำเช่น เรื่องอาหาร เสื้อผ้า ให้มีหลังคาคุ้มหัวของเรา และมีมากพอที่จะจ่ายให้กรมสรรพากร (คนหัวเราะ) เราจะหลุดออกจากสิ่งเหล่านี้ และเริ่มต้นฟูมฟักความต้องการทางจิตวิญญาณของเราได้อย่างไร?
ตอบ: เธอก็ยังต้องรักษาหลังคาไว้เหนือหัวของเธอ อย่าเอาหลังคาออกไป (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เพียงแต่ให้เธอรู้แจ้งขึ้นไม่ต้องกังวลหรอก! ฉันอาศัยอยู่ในเต๊นท์ ฉันก็ยังเรียบร้อยดี บางครั้งเต็นท์ถูกพัดหายไปไม่มีหลังคาอยู่ ฉันก็ยังโอเค เราเคยมีสถานที่นั่งสมาธิซึ่งกว้างใหญ่มาก สามารถรองรับคนได้ประมาณ 7,000 คน แต่เมื่อปีที่แล้วมีบางคนพูดอะไรบางอย่างออกมาสถานที่นั้นก็เลยถูกรื้อลงมา ก็โอเค เราก็ปล่อยให้มันถูกรื้อไป เราไม่คัดค้าน เราไม่บ่น เราไม่อธิบายเรื่องที่เราถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูล เราไม่กังวลเลย จากนั้น เราก็วางแผนที่จะเอาเสื้อกันฝนมาเวลาที่ฝนตก และเอาร่มมาเวลาแดดออก เพียงเพื่อจะได้นั่งตรงนั้น นั่งสมาธิไปเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เมื่อเรารู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเรียบร้อยไปด้วย พระเยซูสัญญาไว้ว่า "จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด แล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาสู่เราเอง" ฉันก็สัญญากับเธออย่างเดียวกัน (คนปรบมือ)
ถาม: จริงหรือไม่ที่หากผู้หญิงไม่มีลูกของตนเองเธอจะไม่มีชีวิตที่สมบูรณ์?
ตอบ: เขาต้องการได้คำตอบไร้สาระหรืออะไรกัน? พวกเธอเห็นด้วยหรือเปล่า? (ผู้ฟัง:ไม่เห็นด้วย) พวกเขาบอกว่า "ไม่เห็นด้วย" โอเค! ถ้าพระเจ้าไม่ได้บัญชาให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานอันเกิดจากการคลอดลูก เธอก็ควรจะบอบคุณในพระพรของท่าน (คนปรบมือ) จริงไหม? เรามีเด็กๆ มากพอแล้วโลกนี้
ถาม: จิตใจของฉันยากที่จะสงบลงเพื่อจะนั่งสมาธิได้ มันเหมือนกับลิงซึ่งอยากจะวิ่งเล่นแต่ไม่ยอมนั่งเงียบๆการนั่งสมาธิตามแบบของท่านจะช่วยให้จิตใจสงบลงและตระหนักรู้ถึงตัว ตนที่แท้จริงได้อย่างไร?
ตอบ: ฉันเพียงแต่ทำให้จิตใจหลับไป (คนหัวเราะ) โดยใช้แสงและเสียง ดนตรีจะช่วยกล่อมให้เขาหลับ แสงจะช่วยให้เขาสบาย แล้วเขาก็จะหลับไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงแต่วิญญาณเท่านั้นที่ตื่นอยู่ อย่างไรก็ดี ถ้าเธอยังไม่ต้องการที่จะมาร่วมกับเราก็พยายามนั่งสมาธิตามวิธีของเธอต่อไป และเธอก็จะเคยชินกับมันมากขึ้นทีละน้อย แต่ปัญหาก็คือถ้าเธอนั่งอยู่ในสมาธิใช้ความพยายามสุดความสามารถ เพ่งลมหายใจหรือจักระหัวใจ หรือจักระอะไรก็ตามทั่วไปหมด แล้วเอก็ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย แน่นอนจิตใจก็ต้องรู้สึกเบื่อหน่าย แล้วมันก็จะพูดว่า "เฮ้ นี่เธอทำอะไรอยู่น่ะ? เธอจับฉันมานั่งที่นี่เพื่ออะไร? ฉันอยากจะดูหนังมันสนุกกว่านี้ตั้งเยอะ ฉันอยากจะไปดื่มน้ำชาและพูดคุยกับเพื่อนๆ ดีกว่ามานั่งแบบนี้" เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม?
ฉันมีเพื่อนบำเพ็ญคนหนึ่ง เธออายุค่อนข้างมากแล้วประ มาณ 60 โอ ไม่ใช่ 50 กว่าๆ ก่อนที่เธอจะมาเจอฉันเธอมีอาจารย์คนอื่นมากมาย อาจารย์เหล่านั้นสอนธรรมวิถีให้แก่เธอหลายแบบหลายวิธี นั่งพิจารณาลมหายใจ นั่งอยู่ในเซนวันละ 15 ชั่วโมงและอะไรอย่างอื่นอีกมาก ทานอาหารเพียงมื้อเดียวและเธอก็บอกว่าเธอก็นั่งและนั่ง จนในที่สุดเธอก็ไม่สามารถนั่งต่อไปได้ เธอไม่ได้รับอะไรเลยเธอจึงทนไม่ได้ แต่หลังจากที่เธอได้รับการรู้แจ้งแล้วเธอก็บอกว่า "โอ บางครั้งเธอนั่งนานถึง 4 ชั่วโมง" แล้วเธอก็มีความสุขมากเป็นความสุขที่ล้นเหลือและเพราะว่าเธอมีความสุข ครอบครัวทั้งครอบครัวของเธอซึ่งมีสมาชิกอยู่ 8 คนก็เลยพลอยสุขไปด้วยทั้งหมด พวกเขามาเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ไม่ได้รับการประทับจิตด้วยซ้ำ พวกเขาบอกว่างานของฉันเป็นประโยชน์มากขนาดไหน พวกเขาให้กำลังใจฉันให้ทำต่อไปทั้งๆ ที่พวกเขาก็ไม่ได้รับการประ ทับจิต
ถาม: ทำไมการเป็นมังสวิรัติจึงสำคัญมากน้อยต่อการรู้แจ้ง?
ตอบ: มันสำคัญต่อตัวเธอต่างหาก เธออาจจะได้รับการรู้แจ้งโดยไม่จำเป็นต้องเป็นมังสวิรัติก็ได้ เพราะฉันไม่ได้กำหนดให้เธอต้องเป็นมังสวิรัติก่อนการประทับจิต แต่ต้องเป็นหลังจากประทับจิตเท่านั้น เธอสามารถรู้แจ้งเหมือนๆ กันโดยอาศัยพลังพรของผู้ที่เป็นอาจารย์ แต่เราต้องรักษาทัศนคติในการมีความรักต่อสรรพสัตว์ทั้งมวล เพราะว่าพวกเขาก็คือตัวเราเอง ถ้าเธอกินสมาชิกของร่างกายของเธอไปหมด หลังจากนั้นเธอก็จะรู้ชัดว่าเธอไม่มีอะไรเหลือ เข้าใจไหม? นอกจากนี้ เราก็ไม่ควรจะอยู่ในรสชาดทางวัตถุ แต่ควรจะพ้นออกมาอยู่ในความสุขแห่งการรวดชีวิตให้แก่พวกเขา (คนปรบมือ)
ถาม: ฉันเชื่อว่าฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ถ้าฉันสามารถลบความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าว่าเป็นบุคคลหนึ่ง ธรรมวิถีกวนอิมจะช่วยในแง่นี้ไหม?
ตอบ: ได้ๆ ธรรมวิถีนี้มีไว้ก็เพื่อสิ่งนี้แหละ เราจะลบการแบ่งแยกออกไป ลบความมีตัวตนออกไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเราก็ไม่ต้องทำอะไรแต่พระเจ้าจะทรงทำโดยผ่านทางตัวเรา
ถาม: ฉันไม่เชื่อว่าสติปัญญาจะดำรงอยู่เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น ท่านเชื่อหรือไม่?
ตอบ: ใช่ ถูกต้อง ไม่ได้อยู่เฉพาะที่นี่แต่อยู่ในโลกทุกโลก อาจมีระดับมากหรือน้อยต่างกันไปซึ่งอยู่กับสถานที่ ขึ้นอยู่กับสถาน ที่นั้น มีโลกอื่นๆ บางแห่งซึ่งฉลาดกว่าพวกเรา แล้วก็มีบางแห่งซึ่งฉลาดน้อยกว่าพวกเรา
ถาม: ฉันจะรู้ถึงภารกิจของฉันในชีวิตนี้ได้อย่างไร?
ตอบ: โอ ฉันขอแนะนำให้เธอได้รู้แจ้งเสียก่อน แล้วเธอก็จะเห็นชัดเจนขึ้น
ถาม: ท่านทำงานร่วมกับพี่น้องสีขาว หรือพี่น้องแห่งจักรวาล?
ตอบ: ใช่ ฉันยังทำงานร่วมกับพี่น้องสีดำด้วย (คนหัวเราะและปรบมือ) เราไม่มีการแบ่งแยก แน่นอนเขาหมายถึงพี่น้องสีขาวซึ่งเป็นชื่อเรียกสำหรับผู้ที่รู้แจ้งแล้วซึ่งช่วยเหลือจักรวาลทั้งมวล ตะกี้นี้ฉันพูดเล่นนะ ที่นั่นไม่มีขาวไม่มีดำหรอก (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ถาม: เมื่อบุคคลหนึ่งกลายเป็นอาจารย์แล้วเขาจะยังมีความกลัว ความสงสัย หรือความโกรธหรือไม่? เราเรียกพระเยซูว่าเป็นอาจารย์ท่านหนึ่ง อย่างไรก็ดีตามที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูก็มีความหวาดกลัวในคืนก่อนที่ท่านจะถูกตรึงกางเขนและก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านก็ร้องว่า "ทำไมพระเจ้าจึงทอดทิ้งฉันเล่า? กรุณาอธิบายด้วย หากพระเยซูยังมีความกลัว มีความสงสัย แล้วเราจะไม่มีความกลัวและความสงสัยได้อย่างไร?
ตอบ: ใช่ พวกท่านก็อาจจะมีความกลัวและความสงสัยแต่ความกลัวและความสงสัยนั้นไม่ได้หยั่งรากลึกเหมือนพวกเรา เธอเข้าใจไหม? ถ้าพระเยซูไม่มีความกลัวที่จะถุกตรึงกางเขนเลย การเสียสละของท่านก็คงไม่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ท่านมีความกลัวแต่ท่านก็ยอมรับมัน เข้าใจไหม? ส่วนพวกเรามีความกลัวแล้วเราก็วิ่งหนี เราพยายามจะโทษคนอื่นหรือพยายามหนี เราพยายามจะเอากางเขนไปให้ผู้อื่น นี่แหละคือความแตกต่าง เราอาจจะมีความกลัว เราอาจจะมีอารมณ์แต่เราสามารถดึงกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ หรือเราอาจจะใช้ความกลัวหรืออารมณ์ของเราเพื่อเป็นประโยชน์อื่นๆ
หลังจากรู้แจ้งแล้ว ความรู้สึกและอารมณ์ทั้งหลายก็ยัง คงอยู่เหมือนเดิม เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาให้มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อที่จะใช้มันในการเข้าใจพี่น้องชายหญิงของเรา ถ้าเธอไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์ เธอจะเข้าใจมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไร? เธอจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร เข้าใจไหม? แต่ความกลัวของผู้ที่เป็นอาจารย์นั้นจะต่างไป ความกลัวของอาจารย์บางครั้งได้รับผลกระทบมาจากความกลัวของลูกศิษย์ ท่านจะรับความกลัวมาจากลูกศิษย์เพื่อให้ลูกศิษย์ไม่กลัว แต่ผู้ที่เป็นอาจารย์ก็ต้องรับความกลัวนั้นไว้ระดับหนึ่ง แต่ความกลัวนั้นตื้นๆ ไม่หยั่งรากลึกเป็นเพียงแค่ภาพหลอนผู้ที่เป็นอาจารย์นั้นในแง่หนึ่งมีความกลัว แต่ในอีกแง่หนึ่งไม่มีความกลัวอะไรเลย เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม? ท่านรู้ว่าท่านต้องมีความกลัวแต่ท่านไม่ได้กลัวความกลัวนั้น (คนปรบมือ)
ถาม: จริงๆ แล้วกวนอิมหมายความว่าอย่างไร? กรุณาอธิบายด้วย
ตอบ: ในกลุ่มของเรากวนอิมหมายถึง การสังเกตคำพูดภายใน คำสอนภายใน ดนตรีภายใน ดนตรีสวรรค์
ถาม: ความรักนั้นสามารถเป็นแบบไม่มีข้อแม้ได้จริงๆ หรือ? ถ้าพระเจ้ารักผู้ที่ไม่ทำบาปและยังรักและให้อภัยผู้ที่ทำบาป แล้วทำไมเราจึงต้องมานั่งเสียเวลาในชีวิตของเราเพื่อพยายามหลีก เลี่ยงบาป?
ตอบ: ก็เพราะว่ามันทำร้ายตัวเราเองไม่ใช่ทำร้ายพระเจ้า เมื่อ ใดก็ตามที่เราทำสิ่งซึ่งเรารู้ว่าบาป ไม่ถูกต้อง เราก็ทำร้ายตัวเราเอง จิตสำนึกของเราจะด่าเราทำให้เราลำบาก เพราะฉะ นั้นเราจึงพยายามหลีกเลี่ยงมัน พระเจ้ารักทุกคนเหมือนๆ กันดังนั้น พระอาทิตย์จึงสาดส่องลงมาบนทุกสิ่งทุกอย่าง ฝนไม่เกลียดคนจน คนเจ็บป่วยหรือคนบาป แต่เป็นตัวเราที่รับผิดชอบต่อความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างเรากับพระเจ้าถ้าเราทำอะไรซึ่งไม่ถูกต้อง ดังนั้น เราจึงควรหลีกเลี่ยงมัน นอกจากนี้ยังเป็นหน้าที่ของเราด้วยเมื่อเราอาศัยอยู่ในโลกนี้ เรามีความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน เราจึงต้องรักษาสังคมให้มีความเป็นระเบียบเรียบ ร้อย โอเค?
ถาม: สิ่งซึ่งอาศัยอยู่ในโลกอื่น หรือพวกที่เดินทางมาในจานบินนั้น พวกเขามีชะตาชีวิตแบบเดียวกับมนุษย์เราหรือไม่ มีความอ่อนแอต่อความทุกข์ทรมานเหมือน กัน มีความต้องการจะรู้แจ้งเหมือนกันหรือไม่?
ตอบ: ใช่ ก็เหมือนกันบ้าง เหมือนกันในระดับหนึ่ง แต่น้อยกว่าเราน้อยกว่าพวกเราที่เป็นชาวโลก เพราะว่าพวกเขามีความ ก้าวหน้ามากกว่า เขาอยู่ใกล้พระบิดามากกว่า เขามีแสงมากกว่า มีปัญญามากกว่า
ถาม: เมื่อได้รับการประทับจิตแล้ว เราจำเป็นต้องเลิกนับถือศาสนาของเราหรือไม่?
ตอบ: ไม่ๆๆ กรุณาอย่าเลิก เราบอกแล้วว่าในการประทับจิตนั้น เธอไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอาชีพ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา ไม่มีปัญหา ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ขอให้ทานมังสวิรัติเท่านั้นก็พอ
ถาม: เราจะได้พบกับสัตว์เลี้ยงของเราและเพื่อนๆ ที่เป็นสัตว์ในสวรรค์หลัง จากการเดินทางของชีวิตนี้สิ้นสุดลงหรือไม่?
ตอบ: ได้ถ้าพวกเธอต้องการพวกเขา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ถ้าเธอต้องการพวกเขาและถ้าเธอรู้แจ้งเธอก็สามารถเอาพวกเขาไปได้ แต่ถ้าเธอไม่รู้แจ้งเธอก็ไม่มีกำลังที่จะนำเขาไป เธอไม่มีพลัง เธอไม่สามารถแม้กระทั่งจะนำตัวของเธอเองไปยังที่ๆ ต้องการแล้วจะเอาสัตว์เลี้ยงไปได้อย่างไร
ถาม: วัตถุประสงค์ของโรคระบาด เช่น มาลาเรีย เอดส์ ฯลฯ คืออะไร? มนุษย์เรากำลังขัดขวางกระบวน การทางธรรมชาติโดยการพยายามหาวิธีรักษาโรคเหล่านี้หรือไม่?
ตอบ: เมื่อเธอค้นพบวิธีรักษาโรคนี้บางโรค ก็จะมีโรคชนิดอื่นเกิดขึ้นมาเองอีก แต่เมื่อมนุษย์ตระหนักว่าเขาควรจะยอมตามพระประสงค์ของพระเจ้า ยอมตามพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ภายในตัวเรา และต่อเมื่อมนุษย์ตระหนักว่าภายในตัวเขามีพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งรักษาโรคได้ทุกโรค และตระหนักว่าเขาควรจะพึ่งพลังนี้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นโรคทั้งหลายจึงจะหายไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นคำเตือนว่าเราควรจะหันกลับมาหาพระเจ้า
ถาม: การรู้แจ้งเพื่อไปถึงระดับสุงสุด หรือการตระ หนักรู้ในพระเจ้านั้นจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับตัวเอว่าเธอขยันแค่ไหน เธอต้องการมันมากแค่ไหน และยังขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นอาจารย์ ว่าอาจารย์ผู้นั้นมีพลังเพียงพอที่จะนำเธอผ่านระดับต่างๆ ของจิต และพอที่จะนำเธอไปในที่ๆ เธอต้องการได้หรือไม่?
ถาม: ระดับของสมาธิมีกี่ชนิด?
ตอบ: ว้าว! มีเยอะแยะมากมาย ระดับของจิตมีมากมาย ดังนั้น ระดับของสมาธิก็มีมากมาย แต่สมาธิที่ท้ายสุดก็คือสมาธิซึ่งมิใช่สมาธิ หมายความว่า เธอทำงานของเธอในโลกต่อไปเหมือนคนธรรมดา แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็อยู่ในสมาธิตลอดเวลาและไม่ส่งกลิ่นออกมา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ไม่มีกลิ่นอะไรออกมาที่เธอจะสามารถดมได้ว่าบุคคลนั้นอยู่ในสมาธิ นั่นแหละคือสมาธิระดับสูงสุด
ถาม: เราสามารถจะแยกศาสนาและวิทยาศาสตร์ออกจากกันและเชื่อในทั้ง 2 อย่างได้หรือไม่? ฉันหมายความว่า ด้วยการทำแบบนี้ฉันจะสามารถเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในวิวัฒนาการพร้อมกันไปด้วยหรือไม่?
ตอบ: แน่นอนๆๆ ทฤษฏีวัฒนาการสนับสนุนความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมนุษยชาติ มันเป็นเรื่องเดียวกัน วิทยา ศาสตร์และทฤษฎีทางศาสนาคล้ายคลึงกันมาก สิ่งเดียวที่แตก ต่างก็คือ บางครั้งวิทยาศาสตร์สามารถก้าวไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็หยุดที่นั่น แต่ศาสนานั้นไปได้ไกลกว่าและกว้างกว่า (คนปรบ มือ)