
โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ณ มหาวิทยาลัยเออร์วีน แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
2 มิถุนายน 2541 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
คำถามที่ชวนพิศวงงงงวยตั้งแต่โบราณกาล
ณ มหาวิทยาลัยเออร์วีน แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
2 มิถุนายน 2541 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
คำถามที่ชวนพิศวงงงงวยตั้งแต่โบราณกาล
เราต้องเริ่มต้นมาจากที่ใดที่หนึ่ง และชีวิตของเราได้เริ่มต้นมาเป็นเวลานานแล้ว หรือบางทีมันอาจจะเพิ่งเริ่มต้น และเราได้ลืมไปว่าจริงๆ แล้วเรามาจากที่ไหน นั่นเป็นคำถามเดียวเท่านั้นซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ พวกเราเป็นจำนวนมากไม่สามารถบอกได้ เรื่องอื่นๆ นั้นเราฉลาดพอที่จะรู้ เราสามารถเรียนรู้ได้จากหนังสือ เราสามารถทำการทดลองได้ในห้องทด ลอง เราสามารถใช้สสารทางเคมีหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะให้คำตอบ แต่คำตอบเดียวเท่านั้นซึ่งน่างุนงงที่สุดก็คือ “เรามาจากที่ใด?” และอีกคำถามหนึ่งซึ่งน่างุนงงพอๆ กันก็คือ “เราจะไปที่ไหนหลังจากนี้?” เป็นที่ปรากฏชัดว่าสำหรับพวกเรานั้นชีวิตไม่ได้จบสิ้นในโลงศพ เรารู้ดีในเรื่องนั้น เพียงแต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ สำหรับนักบุญผู้มีปัญญาในสมัยโบราณ คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ง่ายมาก พวกเขารู้ดีว่าพวกเขามาจากที่ใดและพวกเขาก็รู้ดีว่าพวกเขาจะไปยังที่ใด สำหรับพวกเขาแล้วปัญหาเรื่องการตายไม่มีน่าดึงดูดใจหรือน่าตกใจเลย เพราะเหมือนอย่างที่นักบุญในไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า ฉันตายทุกวัน
การตายทุกวันหมายความว่าอย่างไร? เมื่อเราดึงตัวเราเข้าสู่ภายในเพื่อเข้าไปยังอาณาจักรแห่งพระเจ้า นั่นก็คือเวลาที่เราตาย เราตายชั่วคราวแล้วเราก็กลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น การกลับชาติมาเกิดสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าเวลาใดในระหว่างชีวิตปกติของเราถ้าเราทำตามขั้นตอนของพระเยซู ของนักบุญในสมัยโบราณ เนื่องจากว่าเราตายเพียงครั้งเดียว หรือเราตายทุกวันเราจึงทราบดีว่ามีอีกชีวิตหนึ่ง มีโลกอื่นนอกเหนือจากโลกทางวัตถุนี้ เราก็จะเป็นอิสระที่จะท่องเที่ยวไปทั่วจักรวาล เราค้นหาความลึกลับของจักรวาล เราทราบดีว่าการตายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร และอันที่จริงแล้วเราก็ทราบว่าเราไม่เคยตาย เรายังทราบว่าเราไม่มีแม้กระทั่งกายเนื้อ มันอาจจะดูแปลกแต่มันก็เป็นความจริง
เพราะเหตุนี้ เมื่อพระเยซูถูกตรึงกางเขนพระองค์จึงไม่กลัว พระองค์ไม่ได้ร้องไห้ พระองค์ไม่ได้ร้องขอชีวิต พระองค์ไม่ได้วิ่งหนีไป พระองค์อาจจะทำเช่นนั้นก็ได้ แต่พระองค์ไม่ต้องการ พระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องทำ พระองค์จำนนทุกสิ่งต่อพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะพระองค์ทราบว่าพระองค์กำลังจะไปที่ใด พระองค์ทราบอยู่ตลอดเวลา พระองค์ทราบว่าไม่มีเรื่องอย่างเช่นความตายหรือความทุกข์ ความทุกข์อันแท้จริงเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ทราบว่าเรามาจากที่ใด และเราจะไปยังที่ใดเนื่องจากพระเยซูทราบอยู่แล้ว พระองค์จึงเลิกแสวงหาความสบายทางวัตถุ พระองค์ไม่กลัวตายและพระองค์ก็ได้ไป เพราะพระองค์ทราบว่าพระองค์จะอยู่ที่นั่นเสมอไป และพระองค์ ทราบว่า เป็นเพียงกายเนื้อเท่านั้นซึ่งเน่าเปื่อยในสายตาของมนุษย์แต่ในปัญญาของพระเยซู ไม่มีสิ่งเช่นนั้นแม้กระทั่งอย่าง เช่นกายเนื้อ
เรื่องนี้ยากที่จะพิสูจน์ เว้นเสียแต่ว่าเราได้เดินบนเส้นทางเดียวกับมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเช่น พระพุทธเจ้าหรือพระเยซู พระองค์เดินบนเส้นทางเดียวกัน ดังนั้น พระองค์จึงเทศนาในเรื่องเดียวกัน ถึงแม้ว่าเราจะตั้งชื่อว่าศาสนาพุทธหรือศาสนาคริสต์ก็ตาม เรามีคำศัพท์เฉพาะมากมายและได้แบ่ง แยกสัจธรรมออกเป็น 2 หมวดหมู่ซึ่งแตกต่างกันซึ่งทำให้เราสับสน แต่อันที่จริงแล้วโดยพื้นฐานแล้ว อาจารย์มักจะสอนเรื่องเดียวกันเสมอ ถ้าหากเราตัดริบบิ้นกระดาษที่ห่อของและวิธีการที่แตกต่างกัน ความสามารถพิเศษและคำพูดของอาจารย์แต่ละคนออกไป มันก็จะเป็นสิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะหลังจากที่เราได้รู้แจ้งแล้ว หรือเราได้เดินเส้นทางเดียวกันและบำเพ็ญสิ่งเดียวกันเราก็จะรู้ว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะทั้ง 2 พระองค์ได้เดินไปบนเส้นทางเดียวกัน สมมุติว่าพวกเราทั้งหมดเข้ามายังห้องประชุมนี้นั่งอยู่ที่นี่สักชั่วครู่ แล้วหลังจากนั้นเราก็ออกไปและบอกลักษณะของห้องเดียวกันก็จะไม่มีความแตกต่างกัน
การรู้แจ้งคือสภาพธรรมชาติของเรา
การรู้แจ้งเป็นอย่างไรกันจึงทำให้คนเป็นจำนวนมากทำให้มันดูลึกลับและยกย่องมันมากเหลือเกิน และกระตุ้นให้เราเรียกร้องมันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง? มันไม่ใช่เป็นการรู้แจ้งเลย มันเป็นเพียงสัจธรรม มันควรที่จะเป็นเช่นนั้น มันเป็นแบบที่มันเป็น และถ้าเราไม่รู้จักการรู้แจ้งเราก็จะมีความทุกข์อย่างมากต่อไป จนกว่าเราจะตระหนักว่าสิ่งอื่นๆ นั้นไม่สำคัญยกเว้นการได้รู้จักพระเจ้า เมื่อเราเริ่มที่จะอยากรู้จักพระเจ้าๆ ก็จะส่งคนอื่นมาเป็นเพื่อน ผู้ชี้นำ พี่ชายที่มีประสบการณ์ เพื่อที่จะแสดงให้เรารู้ว่าจะต้องทำอะไร หลังจากที่เรารู้ว่าจะต้องทำอะไรแล้วนั่นก็คือตอนที่เราได้รู้แจ้ง เราอาจจะไม่รู้แจ้งยิ่งใหญ่ในทันทีเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูแต่เราก็ได้รู้แจ้งขึ้นมาบ้าง จากนั้นทุกๆ วันเราก็ดำเนินตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะยิ่งใหญ่เหมือนเดิม เราจะเข้าใจในสิ่งที่พระเยซูได้กล่าวกับเราเหมือนอย่างเช่น “อะไรก็ตามที่ฉันทำ เธอสามารถทำได้ดีกว่า หรือเธอสามารถทำได้ดีเหมือนๆกัน” และ “ฉันและพระบิดาของฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน” เราจะเข้าใจว่าเราทั้งหมดต่างก็เป็นบุตรของพระเจ้า เราจะเข้าใจว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้า และมีเพียงพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในตัวเรา
ถ้าหากพระเจ้าอาศัยอยู่ในตัวเรา เช่นนี้แล้วเราคืออะไร? เราคือพระเจ้า ถ้านี่คือบ้านแห่งเดียวเท่านั้นและพระเจ้าอาศัยอยู่ภายใน ถ้าเช่นนั้นมีใครอื่นอีกที่อยู่ในนั้น? จะเป็นไปได้ไหมที่ฉันและพระเจ้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน? พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าฉันและพระเจ้าอาศัยอยู่ในนั้น พระองค์ตรัสว่าฉันและพระบิดาของฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าหากฉันและพระบิดาของฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วทำไมเราจึงไม่รู้จักพระองค์ล่ะ? ถ้าหากพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ภายในวิหารหลังนี้ และกายเนื้อนี้เป็นวิหารแห่งเดียวเท่านั้น และมีคนคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในซึ่งก็คือพระเจ้า ถ้าเช่นนั้นแล้วใครล่ะที่อยู่ข้างใน? มีเพียงคนเดียวเท่านั้น พระเจ้าคนเดียวเท่านั้น
แต่ก่อนเรื่องนี้ได้ทำให้ฉันร้องไห้ในบางครั้ง ฉันพูดว่า “ถ้าฉันเป็นพระเจ้า ทำไมฉันจึงมีความถ่อมตนนัก? ทำไมฉันจึงอ่อนแอนัก? ทำไมฉันจึงตัวเล็กนัก ทำไมฉันจึงโง่เขลานัก? ทำไมฉันจึงมีความทุกข์มากนัก? บ้านของฉันอยู่ที่ไหน?” และนั่นก็คือตอนที่เราเริ่มถามตัวเราว่าจะทำให้ได้ความรุ่งโรจน์ของเรากลับคืนมาอีกครั้งอย่างไร? นั่นคือตอนที่การรู้แจ้งเริ่มต้นคืบคลานเข้ามาหาเรา หรือเรากำลังคืบคลานไปสู่การรู้แจ้ง หรือเราอาจจะกำลังวิ่ง กำลังบิน ก็สุดแล้วแต่ บางคนบิน บางคนเดิน บางคนอาจจะไปโดยรถไฟ ด้วยเหตุนี้ในเวลาที่เรียกว่าการรู้แจ้ง บางคนจึงรู้แจ้งมากกว่า บางคนมีการรู้แจ้งที่ “ยิ่งใหญ่” น้อยกว่า ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าบางครั้งเราเลือกที่จะไปเร็วกว่า บางครั้งเราเลือกที่จะไปช้ากว่า
เราเลือกในเรื่องนั้นอย่างไร? เราเลือกก่อนที่เราจะมาเกิด เราเลือกก่อนการสร้างโลกจะเริ่มต้นเล่นบทบาทของเราในโลกวัตถุนี้หรือในส่วนใดของจักรวาล เรากระจายไปทั่ว เราเป็นหนึ่งเดียว แล้วก็เป็นมากมายตามที่พระเจ้าประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้น เรามีส่วนร่วมในการออกแบบอันยิ่งใหญ่ของการสร้างโลกเพื่อที่จะเล่นละครแห่งชีวิตอันมีสีสัน และในตอนนี้เมื่อเวลาที่บทบาทของเราจะต้องจบลงได้มาถึง ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น หรือเมื่อเราเหนื่อยล้าแล้วเราก็ต้องการที่จะลาพัก เราต้องการที่จะกลับบ้าน คนอื่นๆ หรือวิญญาณดวงอื่นๆ ก็จะเล่นบทบาทของเราต่อไปแล้วก็จะเริ่มกลับไปยังบ้าน นั่นก็คือตอนที่การรู้แจ้งได้เกิดขึ้น มันเรียบง่ายมาก เราเป็นพระเจ้า เราเลือกที่จะโง่เขลาเพื่อที่จะเล่นละครแห่งชีวิตนี้ เพื่อที่จะให้การสร้างโลกนั้นมีสีสันและมีชีวิตชีวา ให้มันแตกต่าง ให้มันสนุก รวมทั้งเพื่อที่จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใคร ในสวรรค์มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น เราไม่รู้จักพระเจ้าเพราะเราเป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเป็น “แบบที่ไม่ใช่เป็นพระเจ้า” เราเลือกที่จะมาที่นี่เพื่อจะให้แตกต่างจากพระเจ้าเพื่อว่าเราจะได้เห็นและเปรียบเทียบและทราบว่าเราคือพระเจ้า
การรู้แจ้งเป็นจุดมุ่งหมายของทุกคนที่มายังจักรวาลแห่งวัตถุนี้ เนื่องจากเราต้องการรู้จักพระเจ้า เราจึงได้เลือกที่จะเล่นบทบาทที่โง่เขลานี้ เพื่อที่เราจะได้รู้จักพระเจ้าและตัวเราจริงๆ เหมือนอย่างถ้าในโลกนี้มีเพียงผู้ชายเท่านั้น เราก็จะไม่รู้จักความแตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เราจะไม่รู้ว่าเราเป็นผู้ชาย เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้หญิง เราจะไม่รู้จักกลางวันถ้าไม่มีกลางคืน ถ้าหากเรามีชีวิตอยู่แต่ในแสงสว่างเราก็จะไม่รู้ว่าความมืดคืออะไร นั่นคือคำตอบที่ฉันได้ค้นพบ แต่การที่จะค้นพบความหมายอันแท้จริงของมัน ที่จะตระหนักถึงความ หมายอันแท้จริง พวกเราแต่ละคนจะต้องค้นหาวิธีการที่จะค้น หามันด้วยตัวเขาหรือตัวหล่อนเอง มันไม่ใช่ด้วยการฟัง ด้วยการได้ยิน ด้วยการพูดที่จะทำให้เรารู้ว่าเราเป็นพระเจ้า แม้ว่าเราจะเชื่อคัมภีร์ไบเบิล ในขณะนี้เราก็ยังคงไม่รู้ว่าเราเป็นพระเจ้าหรือว่าเรารู้แล้ว? ฉันเดาว่าพวกเธอบางคนทราบเพราะเธอรู้แจ้งแล้ว บางคนก็ได้ศึกษากับอาจารย์ท่านอื่นๆ หรือครูคนอื่นๆ และแน่นอน เธอก็ได้รู้ในระดับหนึ่งว่าเธอไม่ใช่เป็นเพียงแค่ร่างกาย เธอไม่ใช่ร่างกายเลย
บางครั้งในระหว่างที่อยู่ในสมาธิ เธอจะพบว่าเธอไม่มีร่างกาย เธอรู้ว่าเธอมีตัวตนอยู่แต่ไม่ใช่ร่างกาย เธอไม่พบว่ามีร่างกายใดๆ เธอไม่พบร่องรอยใดๆ ของสสารทางวัตถุที่เราเรียกว่าเนื้อหนัง กระดูก ร่างกาย เส้นผมหรืออะไรก็ตาม มันมีแต่แสงเต็มไปหมดเท่านั้น มันมีแต่พระเจ้าเท่านั้น นั่นก็คือตอนที่เราได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าเราคือพระเจ้า ว่าพระเจ้าเท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในวิหารหลังนี้ และในท้ายที่สุดวิหารนั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน มีเพียงการตระหนักรู้เช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้เรามีความสุข มีความสุขอย่างแท้จริง มิฉะนั้นแล้วไม่ว่าเราจะอ่านไบเบิลมามากเท่าไร ไม่ว่าครูอื่นๆ มากมายเท่าไรได้บอกเราว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะไม่มีวันเชื่อได้ เราจะไม่มีวันรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นบุตรของพระเจ้าหรืออาณาจักรของพระเจ้านั้นอยู่ภายในตัวเธอ
เราอ่านไบเบิลทุกวันเราจำไบเบิลได้ขึ้นใจ เราอาจจะสามารถท่องไบเบิลได้จากหน้าแรกจนถึงประโยคสุดท้าย แต่ก็ยังคงไม่รู้จักพระเจ้า เราสวดถึงพระเจ้าทุกวัน สวดถึงพระเจ้าที่เราไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำเพื่อให้ตอบคำถามของเรา ให้สนองข้อเรียกร้องของเรา ให้ตอบความปรารถนาของเรา และตลอดเวลาเราก็เป็นสิ่งนั้น เราเป็นคนที่เรากำลังสวดถึง บางครั้งเราก็โกรธพระองค์ เพราะเราคิดว่าพระองค์ไม่ได้ตอบเรา พระองค์ไม่ได้สนองข้อเรียกร้องของเรา เราจะไม่โทษ ติเตียนอีกต่อไปถ้าเพียงแต่เรารู้ว่าเราคือพระเจ้า เราจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสวดอีกต่อไป อะไรก็ตามที่เราคิดเราก็จะมี อะไรก็ตามที่เราต้องการเราจะได้มา แต่เราก็จะไม่ต้องการอีกต่อไป
ในเวลานั้นเราสามารถพูดได้ว่า พระเจ้าคือคนเลี้ยงแกะของฉัน ฉันจะไม่มีความต้องการเพราะฉันสมปรารถนาแล้ว ไม่สำคัญว่าเราขับรถเมอร์ซีเดส เราขี่จักรยานหรือเราเดิน เราก็จะมีความสุขมาก เราจะมีความสมปรารถนา เรามีความอุดมสมบูรณ์อยู่ภายใน จนไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราไม่มีความสุขได้ แม้ถ้าเราเป็นกษัตริย์หรือเป็นขอทาน เราก็จะมีความสุขเท่ากันไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ เพราะเรารู้จักความสุขจริงๆ ในเวลานั้นความสุขก็คือเรา และนั่นก็คือสิ่งที่การรู้แจ้งจะนำมาให้ มันไม่ใช่เป็นทฤษฎีที่เราควรจะฟังมันคือประสบการณ์ มันคือความรู้มันคือการตระหนักรู้ซึ่งเราจะต้องให้ได้มา มิฉะนั้นแล้วเราจะไม่สามารถเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องการเข้าใจ มิฉะนั้นแล้วเราจะเข้าใจซึ่งกันและกันผิดๆ ต่อไปและทุกข์ทรมานมากไม่ว่าจะเป็นในความสัมพันธ์ส่วนตัว ในการติดต่อทางธุรกิจหรือในการติดต่อที่เป็นความรักกับพระเจ้า เราจะไม่มีความเข้าใจและความรักอันแท้จริงซึ่งยิ่งใหญ่มากจนถึงกับทำให้เราสามารถให้อภัยศัตรูของเรา เพราะในเวลานั้นเราจะตระ หนักได้ว่าไม่มีศัตรูใดๆ
เราอ่านไบเบิลมามากมาย อย่างเช่น เธอจะต้องให้อภัยศัตรูของเธอ รักเพื่อนบ้านของเธอ แต่เราจะไม่มีวันเข้าใจว่าทำไม จนกระทั่งเราได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าเราคือใคร หรือเราคืออะไร และในตอนนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายอีกต่อไป ความรักจะไหลออกมาจากตัวเรา แสงจะล้อมรอบตัวเรา เรากลายเป็นสิ่งนั้น เรากลายเป็นความรัก เรากลายเป็นแสงเรากลายเป็นสิ่งที่เราต้องการอยู่เสมอที่จะเป็น เรากลายเป็นสิ่งที่เราสวดขออยู่เสมอ เราเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า ด้วยเหตุนี้อาจารย์อย่างเช่นพระเยซู เราบูชาท่านเพราะพระองค์มีความเป็นพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงชื่นชมในตัวพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์มีความเป็นพระเจ้า พระองค์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจินตนาการว่าพระเจ้าจะเป็น แต่เราสามารถเป็นเช่นนั้นได้เหมือนกัน
พระเยซูได้บอกเราไว้ และเราจะต้องเชื่อพระองค์ๆ ไม่มีเหตุผลที่จะโกหกเรา พระองค์ไม่ได้เอาเงินจากใคร พระองค์ไม่ได้สร้างโบสถ์หรือบ้านในขณะนั้นเสียด้วยซ้ำ พระองค์เดินๆ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ พระองค์ไม่มีเหตุผลเลยที่จะโกหกวิญญาณใดๆ ในโลกนี้ พระองค์ได้บอกพวกเราว่า: อะไรก็ตามที่ฉันทำได้ เธอก็ทำได้เช่นกัน พวกเธอทั้งหมดคือบุตรของพระเจ้า พระองค์ได้กล่าวไว้เช่นนั้น เราจะต้องเชื่อพระองค์ ตอนนี้สิ่งเดียวเท่านั้นที่พวกเราจะต้องทำก็คือตระหนักในสิ่งที่พระองค์ได้พูดไว้ พิสูจน์ให้ตัวเราทราบเพราะพระองค์ได้สัญญาในเรื่องนั้นไว้แล้ว เราจะต้องค้นหาว่าจะต้องทำอย่างไร จะตระหนักรู้ในคำสัญญาเหล่านี้ได้อย่างไร นี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของการรู้แจ้ง เรียบง่ายมาก
ผู้ที่โชคดีคือผู้ที่ค้นพบคำสอนอันแท้จริง
การรู้แจ้งนั้นอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเรา อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในมือ “อยู่ในมือ” หมายความว่าเราสามารถได้มันมาอยู่เสมอ มันอยู่ไม่ไกลขอเพียงให้เรารู้ว่าจะทำอย่างไร อาจารย์ในสมัยโบราณได้ตายจากไปแต่คำสอนของพวกเขาเหล่านั้น เชื้อสายสืบทอดแห่งการรู้แจ้งของพวกเขาได้หลงเหลืออยู่บ้าง ณ ที่ใดที่หนึ่งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่จำเป็นว่ามันจะยังคงหลงเหลืออยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ไม่จำเป็นว่ามันจะยังคงหลงเหลืออยู่ในพุทธคยา ประเทศอินเดีย มันอยู่ลึกลงไปในพื้นแผ่นดินเหมือนอย่างแม่น้ำ มันไปทั่วทุกหนแห่ง มันแตกกิ่งก้านสาขาออกไป มันหลบซ่อนตัวอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วมันก็โผล่ออกมายังที่ใดที่หนึ่งอย่างน่าประหลาดใจ ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาว่าในขณะนี้แม่น้ำนั้นได้ผุดขึ้นมาอยู่ ณ ที่ใด และไปให้ถึงแหล่งของแม่น้ำแห่งชีวิต โชคดีสำหรับผู้ที่รู้ว่าแม่น้ำนั้นได้ผุดขึ้น ณ ที่ใดหลังจากที่มันหลบซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน หรือไหลไปยังมุมต่างๆ ของโลก
ทำนองเดียวกันกับคำสอนของอาจารย์ในอดีต คำสอนเหล่านั้นไม่ได้หายสาบสูญไป เมื่อใดที่เราพร้อมเราก็จะพบแม่น้ำนั้นอีกครั้งหนึ่งโดยผ่านเพื่อนของเราบางคน ผู้ที่สนิทสนม บางครั้งก็โดยเหตุการณ์ที่ตลกมาก ความบังเอิญที่แปลกประหลาดมาก เราก็จะค้นพบแม่น้ำแห่งคำสอนนั้นอีกครั้งหนึ่ง บางครั้งมันอาจจะง่ายมาก ค้นพบในซุปเปอร์มาร์เก็ต บางครั้งมันก็ยากกว่านี้ เราต้องไปยังภูเขาหิมาลัย บางครั้งเราก็พบมันในห้องสมุดหรือในร้านขายลูกกวาด ใครจะไปรู้ได้? วิธีการทำงานของพระเจ้านั้นลึกลับมากๆ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเราเสมอ ไม่จำเป็นว่าพวกเราทั้งหมดจะต้องไปยังภูเขาหิมาลัยหรือที่ใดที่ห่างไกลมากๆ เพื่อที่จะค้นพบการรู้แจ้ง พระเจ้าได้จัดการด้วยวิธีการต่างๆกันสำหรับพวกเราแต่ละคนตามความปรารถนาของเรา ตามความจริงใจของเรา ตามโชคชะตาของเราซึ่งเขียนไว้ในหนังสือของจักรวาล เราอาจจะได้พบโอกาสแห่งการรู้แจ้ง ณ ที่นี้ หรือเราอาจจะได้พบโอกาสแห่งการรู้แจ้ง ณ ที่อื่น
ฉันก็นับว่าโชคดีเหมือนกันที่ได้พบแม่น้ำที่ผุดขึ้นมาใหม่ และฉันก็ได้ดื่มน้ำแห่งชีวิตนี้ด้วยเหมือนกันซึ่งมีรสอร่อย ฉันรู้ว่ามันรสอร่อยเพราะฉันได้ชิมมันมาแล้ว ฉันจึงได้กลับมาบอกเธอ ฉันสามารถแสดงให้เธอรู้ว่าจะไปเอาน้ำนั้นมาได้จากที่ไหน และให้เธอได้ลิ้มชิมด้วยตัวเธอเอง (เสียงปรบมือ) เป็นเพียงแต่ว่าฉันได้พบมันเป็นคนแรก พบมันก่อนเธอ อาจจะเป็นเธอที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ได้ที่จะมาบอกฉัน ใช่แล้ว แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ก็ได้เลือกผู้หญิงตัวเล็กๆ ง่ายที่จะขนส่ง (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เพราะของชิ้นเล็กๆ ไปได้ไกล เป็นการง่ายสำหรับฉันที่จะสอดแทรกเข้าไปยังทุกที่ ค้นหาแม่น้ำให้เธอ เพราะฉะนั้นอย่าได้ถามว่า “ทำไมจึงเป็นฉัน?” ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) เพียงแต่ว่าจะต้องมีใครบางคนที่ค้นพบอะไรบางอย่างด้วยวิธีการบางอย่าง ณ ที่ใดที่หนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง
ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องค้นพบของอย่างเดียวกันในเวลาเดียวกัน เหมือนอย่างไอน์สไตน์มีทฤษฎีของเขา และเขาก็เป็นคนเดียวเท่านั้น ยกตัวอย่าง นิวตัน คนๆ เดียวก็พอเพียงแล้ว แล้วเขาก็สามารถแบ่งปันความรู้ของเขากับโลกทั้งโลกได้ และโลกทั้งโลกก็จะได้รับประโยชน์ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องมีไอน์สไตน์ 2 คนหรือนิวตัน 2 คน มันอาจจะมากเกินไปถ้าเรามีดวงอาทิตย์ 2 ดวง มันจะร้อนเกินไป แคลิฟอร์เนียนั้นร้อนจริงๆ ในฤดูร้อน สมมุติว่าเรามีดวงอาทิตย์ 2 ดวง มันอาจจะมากเกินความจำเป็น เพราะฉะนั้นดวงเดียวก็พอแล้ว เอาละฉันก็อยู่ที่นี่แล้วฉันมาจากที่ไกลเพื่อที่จะนำข่าวนี้มาให้เธอ และถ้าหากเธอต้องการที่จะรับมันไว้ ถ้าเธอต้องการค้นพบในเรื่องนี้เราก็เต็มใจเป็นอย่างมากที่จะแบ่งปันมันกับเธอ ไม่มีการคิดเงิน ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่มีเชือกมาผูกมัด ไม่มีทั้งก่อนหลังและในระหว่าง ก็เป็นแบบนี้เรียบง่าย (เสียงปรบมือ)
นับเป็นเวลานานมาแล้วที่ฉันได้ปรากฏในที่สาธารณะแบบนี้ ฉันก็ได้ปรากฏตัวแต่เฉพาะในหมู่เพื่อนพี่-น้องบำเพ็ญ ฉันไม่ได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะจริงๆ แบบนี้ เพราะฉะนั้นฉันจึงคิดว่าคำพูดที่คารมคมคายของฉันได้หายไป แต่มันเรียบง่ายมาก บางครั้งฉันไม่รู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้องพูด ฉันรู้สึกว่าพวกเธอทั้งหมดก็เข้าใจอยู่แล้ว พวกเธอทั้งหมดทราบดีอยู่แล้ว เพราะพวกเธอทั้งหมดเป็นพระเจ้า ฉันกำลังนั่งอยู่ที่นี่มองดูพระเจ้าทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ฉันจึงรู้สึกมีความสุขมาก ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูด แต่ในกรณีที่เธอมีคำถามใดๆ ฉันก็อาจจะมีโอกาสได้สาธยายให้มากขึ้นเพื่อคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นขออย่าได้เกรงใจที่จะถามหรืออาจจะแบ่งปันความรู้ของเธอกับฉัน
คำถาม-คำตอบ
พิธีกร: นับเป็นเกียรติที่ได้มีอาจารย์ผู้รู้แจ้งซึ่งเราสามารถถามคำถามและได้รับคำตอบที่แท้จริง ท่านคือผู้ที่รู้สัจธรรม และฉัน นักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยเออร์วีนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มีอาจารย์ผู้รู้แจ้งในสถานศึกษาของเรา
ถาม: ท่านอาจารย์โปรดกรุณาอธิบายถึงแหล่งดั้งเดิมของการบำเพ็ญสมาธิวิถีกวนอิมและจะบำเพ็ญได้อย่างไร?
ตอบ: ตามที่ฉันได้กล่าวไว้ ในตอนต้นมันมาจากพระเจ้า นับ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ นับตั้งแต่การสร้างโลกได้เกิดขึ้น เนื่องจากเราเริ่มเล่นละครแห่งชีวิต พระเจ้าจึงได้ประทานหนทางนี้ให้แก่เราเพื่อที่จะกลับไปยังพระองค์ นั่นก็คือที่เริ่มต้นของมัน ส่วนเรื่องที่ว่าจะบำเพ็ญอย่างไร ถ้าหากเธอสนใจ ฉันจะอธิบายให้ละเอียดเพิ่มขึ้นในภายหลังหากเธออยู่ต่อ จะต้องอธิบายให้มากขึ้นในรายละเอียด เธอจะได้ไม่งุนงงสับสนเมื่ออยู่ที่บ้านถ้าหากฉันไม่อยู่ เธอจะต้องรู้ในครั้งเดียวและตลอดไป แล้วเธอก็จะไม่มีวันลืมมันได้อีกต่อไป เธอสามารถทำได้ด้วยตัวเธอเองที่บ้าน ไม่ว่าครูจะตายไป มีชีวิตอยู่ อยู่ที่ตรงนี้หรือที่ตรงนั้น หรือจะไม่มีวันได้พบอีก เพราะฉะนั้นเธอจะต้องเรียนรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน มันกินเวลาไม่นานอาจจะ 2-3 ชั่วโมง เพื่อที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่นั่นก็เพื่อตลอดชีวิต
เราไม่มีเวลามากนักที่นี่ ฉันขอบอกเธอเพียงย่อๆ ว่าธรรมวิถีกวนอิมนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นธรรมวิถี มันเป็นพลังที่มีอยู่โดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังของพระเจ้าเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าเราคือพระเจ้า เพราะเรามีพลังพระเจ้านั้น ในเวลาประทับจิตอาจารย์เพียงแค่ช่วยให้เธอจำมันได้ และเธอจะจำมันได้ทันที และเธอจะรู้สึกมันได้ เธอจะรู้สึกได้ถึงพลัง บางครั้งมันก็ทำให้เธอสั่นสะเทือนแต่ต่อมาเธอก็จะสงบลง เพราะเธอรู้ว่าเธอคือพระเจ้า ในตอนเริ่มต้นมันอาจจะตื่นเต้น แต่ในภายหลัง “มันโอเค มีอะไรหรือเปล่า? ทุกคนคือพระเจ้า ไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร” (เสียงหัวเราะ)
ถาม: ทำไมจึงจำเป็นที่จะต้องล้างกรรมในอดีต?
ตอบ: มันไม่จำเป็นถ้าเราต้องการมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไป แต่ถ้าหากเราต้องการกลับไปยังที่ที่เราจากมา เราก็จะต้องชดใช้หนี้ทั้งหมดไม่ว่าจะด้วยความทุกข์หรือด้วยยาแห่งการรู้แจ้ง ทันทีที่เรารู้แจ้งกรรมในอดีตก็จะถูกลบล้างไป แต่กรรมในปัจจุบันจะยังคงดำเนินต่อไปกรรมในอนาคตจะไม่ดำรงอยู่ และด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถเป็นอิสระที่จะกลับไปยังอาณาจักรของพระเจ้า สิ่งที่ทำให้เราอยู่ที่นี่ก็คือการสะสมของกรรมในอดีต กรรมหมายความว่าอะไร? มันเป็นคำสันสกฤตสำหรับเหตุและผล สำหรับสิ่งที่เราเรียกว่า หว่านพืชอย่างไรก็จะได้รับผลเช่นนั้น ในคัมภีร์ไบเบิล เราได้หว่านการกระทำทั้งดีและเลวนับเป็นพันๆ ล้านๆปี นับตั้งแต่เริ่มต้น เราจึงได้ดำรงอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะเราเฝ้าจ่ายและยืมและจ่ายและชดใช้ตลอดเวลา เราได้กลับมาเพื่อที่จะชดใช้หนี้ในอดีต เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะให้หนี้หมดไปเพื่อที่จะเป็นอิสระจากพันธะเราจึงต้องลบล้างกรรมในอดีต สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราสามารถลบล้างกรรมในอดีตในครั้งเดียวและทั้งหมดก็คือการรู้แจ้ง ทันทีที่เรารู้แจ้งอดีตก็จะหายไป เหมือนอย่างเธอเปิดไฟไม่สำคัญว่าความมืดนั้นได้อยู่ในห้องนี้เป็นเวลากี่พันปีในพริบตามันก็จะหายไป ไม่มีหนทางอื่นใดที่เราจะสามารถลบล้างกรรมในอดีตได้เพราะมันมากเกินไป มันมีมากเกินไป ดังนั้นการรู้แจ้งจึงมีความจำเป็นมาก
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ฉันรักท่านมาก ฉันอยากจะถามท่านถึงเรื่องการค้นคว้าที่ใช้สัตว์ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้? ท่านคิดว่าการค้นคว้าโดยการใช้สัตว์นั้นปราศจากศีลธรรมจรรยาหรือเปล่า?
ตอบ: เธอหมายถึงเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์ โดยการทด ลองกับสัตว์ก่อนใช่ไหม? ใครที่ถาม? (คนที่ถามคำถามไม่ได้เปิดเผยตัวเขา เพื่อที่จะทำความกระจ่างให้กับคำถามของท่านอาจารย์) เอาละ เธอต้องการให้ฉันพูดอะไรล่ะ? เธออยากจะให้ฉันสร้างความขุ่นเคืองให้กับระบบการแพทย์ทั้งหมดหรือ แล้วให้พวกเขามาฆ่าฉันหรือ? (เสียงหัวเราะ) บางคนก็พูดว่ามันจำเป็นที่จะต้องทดลองกับสัตว์เพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ถ้าหากเจตจำนงมีความบริสุทธิ์เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินผู้ใด แต่จากจุดยืนของสัตว์มันเป็นสิ่งที่ขาดความปรานีมาก เป็นสิ่งที่ไม่มีความเมตตาในการกระทำ ฉันหวังว่าเราจะไม่ต้องทำเรื่องนั้น ฉันหวังว่าเราทั้งหมดจะได้รู้แจ้งและรักษาตัวเราจากภายใน (เสียงปรบมือ)
ถาม: ฉันมีดวงวิญญาณหรือไม่? ถ้าหากไม่มี การกลับชาติมาเกิดเป็นไปได้อย่างไร?
ตอบ: ในไบเบิลกล่าวไว้ว่าเธอมีดวงวิญญาณ เพราะฉะนั้นเธอก็จะต้องมีสักดวง (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ในการกลับชาติมาเกิด อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่เป็นดวงวิญญาณที่กลับชาติมาเกิด ดวงวิญญาณนั้นมีชีวิตอยู่ตลอดกาล ไม่ตาย ไม่ดำรงชีวิต ไม่กลับชาติมาเกิด มันเป็นประสบการณ์ของชีวิต เป็นการเชื่อมประสานระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณเมื่อเรากำลังทดลองในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตที่นี่ ซึ่งไปยึดมั่นว่าเราดำรงอยู่ ที่กลับชาติมาเกิด และถ้าเราไม่สลัดตัวเราให้หลุดพ้นจากการทดลองเช่นนี้ซึ่งเราเรียกว่าตัวเรา เราก็จะกลับชาติมาเกิด อันที่จริงแล้วเราไม่ได้กลับชาติมาเกิด เราไม่เคยตาย เราเพียงแค่เจ็บป่วย เราเพียงแค่เป็นโรคจากเหตุการณ์เหล่านี้ จากภัยพิบัติเหล่านี้ซึ่งบังเอิญมาผูกมัดเราไว้ ถ้าเราไม่ตัดตัวเราให้สะบั้นออกไปจากสิ่งนั้น ก็แน่นอนละที่เราจะมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นตลอดกาล เหตุและผลเปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหว เพิ่มเติม ลดน้อยลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เราจึงพูดว่าเรากลับชาติมาเกิด ถ้าหากเรารู้แจ้งไม่พอก็เป็นแบบนั้นแหละ
ถาม: ท่านอาจารย์ ถ้าหากคนคนหนึ่งต้องการแสดงออกในการทำงาน แต่พบว่าถูกปิดกั้นโอกาส เราควรจะมีท่าทีในการทำงานอย่างไร และเราควรจะทำเช่นไร? ความทะเยอทะยานในสถานทำงานนั้นผิดหรือไม่? ฉันจะรู้สึกขอบคุณที่ท่านให้แสงสว่างในเรื่องนี้
ตอบ: อา! เรากลับไปสู่ชีวิตจริง ชีวิตของการทำงาน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ความทะเยอทะยานในการทำงานนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่จะต้องมีในการทำงาน มิฉะ นั้นแล้วเราจะทำงานได้อย่างไร เราจะก้าวหน้าได้อย่างไร? เธอจะทำให้นายและตัวเธอพอใจได้อย่างไร? เธอจะทำกำไรให้กับบริษัทของเธอได้อย่างไร? นั่นคือหน้าที่ มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องทะเยอทะยาน การทะเยอทะยานไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเหยียบหัวคนอื่นเพื่อที่จะไต่เต้าไปข้างหน้า ความทะเยอ ทะยานและความชั่วร้ายหรือความอิจฉานั้นแตกต่างกัน เราทะเยอทะ ยานได้ เราสามารถพัฒนาตัวเราได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องไปกดขี่ผู้อื่น ถ้าเรารู้สึกถูกข่มในระดับหนึ่ง เราก็จะต้องหาเหตุผลที่คนอื่นนั้นกดขี่เราว่าเรานั้นมีความสามารถไม่พอหรือเปล่า ว่ามันเป็นปัญหาส่วนบุคคลหรือเปล่า หรือเป็นคนอื่นที่ชั่วร้ายเกินไปกับเราหรือเปล่า ถ้าเราทำได้ก็ขอให้พูดกับคนๆ นั้น ถ้าเรารู้ว่าเราถูก รู้ว่าคนคนนั้นผิดแล้วเราก็พูดกับคนนั้น ถ้าหากเขาหรือหล่อนดีขึ้นก็ขอให้ยกโทษให้กับเขาหรือหล่อน ถ้าหากเขาไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ขอให้ยกโทษให้เขาทำงานของเธอต่อไป เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ในชีวิตนี้ นั่นคือความจริง แม้กระทั่งความสัมพันธ์ส่วนบุคคล บางครั้งสามีและภรรยาก็อิจฉาซึ่งกันและกัน ถ้าหากคนๆ หนึ่งนั้นประสบผลสำเร็จมากเกินไป นั่นคือปัญหาของสมองมนุษย์มันไม่ใช่ปัญหาของวิญ ญาณ ไม่ใช่ปัญหาของคนรู้แจ้ง (เสียงปรบมือ)
วิญญาณต้องการอาหารหล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณ
ถาม: ทำไมจึงจำเป็นต้องนั่งสมาธิวันละ 2 ชั่วโมงครึ่ง?
ตอบ: ก็เหมือนกับที่เธอต้องกินแฮมเบอร์เกอร์ 2 หรือ 3 ชิ้นอยู่เสมอ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ เสียงปรบมือ) นั่นก็คือปริมาณของอาหารที่อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า ซึ่งเธอกินทุกวันเพื่อให้ร่างกายของเธอมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นจึงมีอาหารหล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณส่วนหนึ่งซึ่งเธอจะต้องกินทุกวันเพื่อที่ จะให้คุณสมบัติที่เป็นเหมือนพระเจ้านั้นแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นแต่สิ่งนี้ได้ถูกกำหนดเอาไว้ หมอได้กำหนดปริมาณที่แน่นอนเอาไว้ มันอยู่ในราวๆนี้ มันไม่ได้เข้มงวดมากนัก
นอกจากนั้น เราสามารถที่จะทำสมาธิในเวลานอนได้ด้วยเช่นกัน เราสามารถทำสมาธิในรถบัส ในเครื่องบิน ในห้องน้ำ ขออภัย (เสียงหัวเราะ) ใช่ๆ เราทำแบบนั้นได้ เราสามารถทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน มีเวลาอยู่เสมอที่จะทำสมาธิ ให้ลดรายการที่ไม่น่าชมบางอย่างของทีวีลงไป อ่านเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในหนังสือพิมพ์ พูดให้น้อย พูดโทรศัพท์ให้น้อยลง แล้วเธอก็จะมีเวลามาก นอนให้น้อยลง บางครั้งเราไม่ได้นอน เราอยู่ในเตียง พลิกตัวไปมาจนสาย (เสียงหัวเราะ) นั่นคือเวลาที่เราสามารถทำสมาธิได้อย่างยอดเยี่ยมมาก แทนที่จะพลิกตัวไปมาก็ขอให้ทำสมาธิรวบรวมสมาธิก็เท่านั้นเอง ง่ายมาก แทนที่จะคิดเรื่องไร้สาระทั้งหลายก็ขอให้เธอรวบรวมสมาธิ นั่นก็คือการทำสมาธิ เธอไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งลงและไขว้ขาเหมือนอย่างพุทธะ เธอเพียงแต่นอนลงและรวบรวมสมาธิ ฉันกำลังแสดงให้เธอรู้ว่าจะใช้เวลา “เกียจคร้าน” ของเธอได้อย่างไร โอ้ ขอโทษที (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เวลา “ที่ไม่เกิดประโยชน์” ของเธอ หรือเวลาอื่นๆ ที่เธอคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยและไม่ได้ทำอะไร เวลาเหล่านั้นเราสามารถรวบรวมเข้าไว้ด้วยกันและระลึกถึงพระเจ้า ง่ายมาก (เสียงปรบมือ)
ถาม: ท่านเชื่อหรือไม่ว่า สักวันหนึ่งจะมีสันติภาพเกิดขึ้นในโลก?
ตอบ: (ท่านอาจารย์หัวเราะ) เธอเชื่อเช่นนั้นหรือเปล่า? (เสียงหัวเราะ) อาจจะในปี 3000 ก็ได้! ไม่ จะไม่มีวันเกิดสันติภาพในโลกได้เลย เพราะมิฉะนั้นแล้วมันก็ไม่ถูกเรียกว่าเป็นโลก มันจะถูกเรียกว่าเป็นสวรรค์ (เสียงปรบมือ)
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ขอบคุณที่มาอยู่ ณ ที่นี้ ลางสังหรณ์มาจากที่ใด? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะใช้การตัดสินใจอันไหน? บางครั้งฉันก็รู้สึกสับสนงุนงง ฉันมีทางเลือก 2 ทางและบาง ครั้งมันก็ยากมากที่จะตัดสินว่าจะเลือกอันไหน เพราะแต่ละทาง เลือกก็ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของฉัน และฉันไม่รู้จริงๆ ว่าฉันควรจะทำอันไหน? ฉันอยากจะถึงจุดที่ฉันรู้อย่างแน่นอนว่าฉันควรจะตัดสินใจเลือกอันไหน
ตอบ: เรื่องนั้นต้องใช้เวลา ด้วยเหตุนี้เราถึงต้องรู้แจ้งไงล่ะ ด้วยเหตุนี้เราถึงจะต้องให้ได้พลังของปัญญากลับคืนมาซึ่งเราได้ลืมไป เราปล่อยให้ความยุ่งยากทางโลกมากมายเกินไปมาบดบังทัศนะของเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงตัดสินใจไม่ได้ เราไม่สามารถตัดสินใจได้เพราะเราไม่รู้ เราไม่มีความแจ่มชัด ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องให้มีความแจ่มชัด เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งที่เราเก็บเอาไว้ทุกวันก็เพื่อทำให้จิตใจเราโล่งปลอดโปร่งแจ่มชัด เพื่อที่ จะกลับไปยังแหล่งดั้งเดิมให้เป็นเหมือนพระเจ้า แล้วเราก็จะรู้ว่าควรจะทำอะไรที่ดีกว่า มันจะแจ่มชัด มันจะแจ่มชัดมาก
ในขณะเดียวกันถ้าหากเธอไม่ได้นั่งสมาธิมากนัก ถ้าหากเธอไม่ต้องการนั่งสมาธิและถ้าเธอมีลางสังหรณ์ นั่นก็คือสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของสิ่งใดก็ตาม ที่หลงเหลือมาจากสิ่งที่เรียกว่าปัญญาที่เหมือนพระเจ้า บางครั้งมันก็ถูกบดบังด้วยความกังวลทางโลกและความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่รอด แต่บางครั้งมันก็แจ่มชัดนั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าลางสังหรณ์ ถ้าหากเธอไม่ค่อยจะแจ่มชัดนักเธอก็จะต้องเสี่ยงเอา เธอจะต้องใช้ความรู้สึกว่าอันไหนนั้นเหมาะสมกว่า หรืออันไหนมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าแล้วเธอก็ทำไป เธอจะต้องเสี่ยงไม่มีใครที่จะมาบอกเราว่าจะต้องทำอะไร ขอให้สวดถึงพระเจ้าแล้วก็เลือกสักอันหนึ่ง หรือมิฉะนั้นเธอก็ฉีกกระดาษ 2 ชิ้น – อันหนึ่งข้างซ้าย อันหนึ่งข้างขวา แล้วเธอก็เลือกมา 1 อันไม่ว่าวิธีไหนก็เสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องมีปัญญาของเธอเอง พลังอาจารย์ของเธอเอง
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ถ้าหากฉันสวดถึงท่านอย่างจริงใจ ฉันจะได้รับการหลุดพ้นตลอดกาลหรือไม่?
ตอบ: ฉันก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น (ท่านอาจารย์หัวเราะหึๆ) แต่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้นนะ ในขณะที่ถ้าตัวเธอเองรู้แจ้งเธอก็สามารถพาผู้อื่นไปกับเธอได้ด้วย เหมือนอย่างคนเดียวได้รู้แจ้ง ญาติและเพื่อนหลายชั่วโคตรของเธอ แม้กระทั่งสุนัขและแมวก็จะได้รับการหลุดพ้น ถ้าเธอสวดถึงพระเจ้า เธอก็จะได้ตั๋วเพียงใบเดียวเท่านั้นถ้าหากเธอมีความจริงใจจริงๆ เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าเธอมีความจริงใจหรือไม่ บางครั้งมันก็ยากที่จะบอก
ถาม: นรกมีอยู่จริงตามที่ไบเบิลได้บอกไว้หรือเปล่า?
ตอบ: เธอคิดว่าอย่างไรล่ะ? มันมีจริงหรือเปล่า? ขอให้มองดูโลกของเรา แล้วเธอก็จะรู้คำตอบ ไม่จำเป็นที่จะต้องมองไปยังที่อื่น มีตลกเลวๆ เกี่ยวกับนรกอยู่เรื่องหนึ่ง เธออยากฟังไหมล่ะ? อยากหรือไม่อยาก? (ผู้ฟัง: อยาก!) (เสียงหัวเราะ) และอย่าโกรธล่ะ มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งอายุ 18 หรือ 19 ปี กลับมาบ้านร้องไห้ต่อหน้าแม่ของหล่อน “โอ้ มอมมี่ ฉันไม่ต้องการแต่งงานกับจอห์นอีกต่อไป ฉันขอยกเลิกการแต่งงาน!” คุณแม่ก็พูดว่า “ทำไมล่ะจ๊ะที่รัก? ลูกก็หมั้นแล้วนี่ ลูกกำลังจะแต่งงานอาทิตย์หน้า มีปัญหาอะไรหรือ?” เด็กผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า “ลูกไม่ชอบเขาอีกต่อไปแล้วละ เขาเป็นคนนอกศาสนา เขาไม่เชื่อแม้กระทั่งในเรื่องนรก” คุณแม่จึงพูดว่า “อย่ากังวลไปเลยลูกรัก หลังจากแต่งงานแล้ว เขาก็จะเชื่อเอง!” (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) ตลกเลวๆ มันไม่เป็นจริงเช่นนั้นเสมอไปหรอก
ทำไมเราจึงมายังโลกนี้
ถาม: ท่านอาจารย์ ทำไมเราจึงยังคงตกมาที่โลกนี้อีก? ทำไมเราจึงไม่สามารถคงอยู่ในรูปจิตสำนึกที่บริสุทธิ์ดังเดิมสำหรับผู้ที่ตั้งแต่แรกเริ่มไม่ต้องการที่จะมาเกิด ฉันเข้าใจในเรื่องกรรม แต่ว่ากรรมเป็นหนี้และเป็นเจ้าหนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระผู้สร้างหรือเปล่า? ทำไมพระองค์จึงต้องการให้เราได้รับทุกข์จากกรรมมากเช่นนั้น?
ตอบ: พระองค์ไม่ได้ต้องการ เราต่างหากที่ต้องการ นั่นคือส่วนหนึ่งของการตกลงกัน เพื่อว่าเราจะได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างความเป็นพระเจ้าและความไม่เป็นพระเจ้าเพื่อว่าเราจะได้รู้จักแสงเมื่อเรากลับคืนสู่แสงอีกครั้งหนึ่ง เราจงใจไปสู่ความมืดเพื่อว่าเราจะได้รู้จักแสงซึ่งสว่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่ไม่เคยต้องการไปจากสวรรค์พวกเขาก็ไม่ได้มาที่นี่ มีบางคนอาจารย์บางคนที่ไม่เคยไปจากสวรรค์เลย นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน บางคนจากสวรรค์เพื่อมายังที่นี่ มาสอนเรา บางคนก็ได้กลับชาติมาเกิดหลายครั้งหลายหนและได้กลายเป็นอาจารย์ เรามีทางเลือกของเรา เราเลือกเพราะเราต้องการเช่นนั้น
มีคำตอบมากมายในเรื่องนี้ แต่พูดโดยสรุปมีจุดมุ่งหมายหลัก 2 อย่างที่เรามีกรรม เรื่องแรกก็คือเราต้องการรู้จักพระเจ้า เรามีจุดมุ่งหมายมายังที่นี่โดยมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้ได้รู้จักพระเจ้า มีบางครั้งเรามีชีวิตอยู่ในสวรรค์ซึ่งเต็มไปด้วยแสง ทุกคนเป็นนักบุญ ทุกคนเป็นพระเจ้า แล้วเราก็พูดว่า “พระเจ้า พระเจ้าคืออะไรกัน?” พระเจ้าจึงพูดกับเธอว่า “เธอคือพระเจ้า พระเจ้าคือเธอ พระเจ้าคือสิ่งนั้น” “ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร” พระองค์พูดว่า “เธอคือแบบนี้ มันคือพระเจ้า” แต่วิญญาณก็ไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้และได้ถามพระเจ้าว่า “ฉันจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร? ฉันจะรู้ว่าตัวฉันเป็นพระเจ้าได้อย่างไร?” พระเจ้าได้บอกเขาว่า “ถ้าเช่นนั้นเธอก็ต้องกลายเป็นสิ่งที่แตกต่างจากพระเจ้า แตกต่างจากตัวเธอก่อน แล้วเมื่อเธอมองย้อนหลังเธอก็จะทราบ” ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ลงมายังที่นี่ จุดมุ่งหมายที่เรามายังที่นี่ก็เพื่อจะรู้จักตัวเราให้ดีขึ้น
อีกคำตอบหนึ่งก็คือเนื่องจากการสร้างโลกยังไม่ได้เริ่มต้น ไม่มีอะไรปรากฏในโลกนี้หรือในโลกอื่นๆ พระเจ้าจึงได้สร้างแผนการขึ้น พระองค์ต้องการให้การสร้างโลกนั้นเกิดขึ้นมาให้เป็นจริงขึ้นมาและให้เรามีส่วนร่วม เรามีความสุขที่ได้เล่นทุกส่วนของการออกแบบอันยิ่งใหญ่เพียงเพื่อความสนุกสนาน เพียงเพื่อทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น บางคนก็เล่นส่วนของเขาอย่างรู้ตัว และเพื่อจุดมุ่งหมายที่ว่าวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลายเป็นพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาจะได้รู้จักพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า พวกเขาต้องเล่นบทบาทที่แตกต่างกันมากมาย และบทบาทหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับอีกบทบาทหนึ่ง เหมือนอย่างเช่นในภาพยนตร์เธอมีตัวเอก เธอมีตัวประกอบและอะไรแบบนั้น มิฉะนั้นแล้วมันก็จะไม่สำเร็จ ดังนั้นตอนนี้กรรมของเราจึงรู้สึกหนักมากและไม่มีเหตุผลเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนั้นสำหรับเราแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะเราคือพระเจ้า เราไม่ได้เห็นความทุกข์ยาก เราไม่ทราบปัญหา เราไม่ได้มองดูอุปสรรคว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนา
สำหรับเราแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงแค่การละเล่น จนกระทั่งเราได้มาเล่นจริงๆ เราจึงรู้สึกถึงความทุกข์นั้น แต่นั่นก็คือส่วนหนึ่งของเกม ส่วนหนึ่งของแผนของจักรวาล ถ้าเราไม่เล่นบทบาทของเรา เราก็จะไม่ดำรงอยู่ จะไม่มีอะไรที่นี่ ฉันจะไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ เธอจะไม่ได้นั่งอยู่ที่ตรงนั้น เธอจะไม่เป็นคนผมบลอนด์ ฉันจะไม่เป็นคนผมดำ จะมีอะไรล่ะ? ทุกอย่างจะธรรมดามาก มันก็นับว่าดี ด้วยเหตุนี้อาจารย์ที่มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งหลายจึงพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้ดวงอาทิตย์นั้นมีความสมบูรณ์พร้อม พระเยซูได้กล่าวว่าพวกเธอทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า พวกเขาได้ตระหนักว่าไม่มีอะไรที่จะต้องทำ ทุกคนนั้นสมบูรณ์พร้อม แต่เรายังไม่ได้ตระหนักในเรื่องนี้ เราจึงมีความทุกข์ เราจะต้องตระหนักรู้แบบเดียวกันกับที่พวกเขารู้ แล้วเราจึงจะรู้ว่าทำไม แล้วเราจะมองดูความทุกข์ว่าไม่ใช่ความทุกข์ มันยังคงเป็นความทุกข์ มันยังคงเจ็บปวดเมื่อใครบางคนหยิกเธอ แต่เธอเข้าใจว่ามันเป็นเพียงเพื่ออะไรบางอย่าง เธอไม่รู้สึกทุกข์ เธอไม่จมลงไปในความทุกข์ เพียงแต่ลอยขึ้นมาอยู่เหนือความทุกข์
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ภรรยาของผมได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้เพื่อรับการประทับจิต เธอได้เป็นมังสวิรัติมาเป็นเวลานานแล้ว ผมได้พยายามแต่ก็ทำไม่ได้ ได้โปรดบอกให้ผมทราบด้วยว่าเป็นเพราะเหตุใดและจะทำเช่นไร
ตอบ: สงสัยภรรยาเธอควรที่จะไปการเรียนการทำอาหารมังส วิรัติให้มากขึ้น สามีที่น่าสงสารไม่สามารถที่จะกินได้เมื่อมันไม่อร่อย เพราะฉะนั้นอันที่จริงแล้วการรู้แจ้งก็เริ่มต้นที่นี่ด้วยเหมือนกัน (ท่านอาจารย์ชี้ไปยังท้องของท่าน) ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ที่ตรงนี้ (อาจารย์ชี้ไปยังตาปัญญา) (เสียงหัวเราะ) ตอนที่ฉันได้พบสามีของฉันเป็นครั้งแรก (อดีตสามีของฉัน เขาแต่งงานใหม่แล้ว) ฉันเป็นมังสวิรัติ เขาไม่ได้เป็น เขาเป็นนายแพทย์ เน้นหนักในความเป็นจริง มีชีวิตแบบทางโลกมาก เขาเป็นคนราศรีพฤษภ ในทางตะวันออกเขาอยู่ในราศรีวัวตัวผู้ เพราะ ฉะนั้นเขาจึงเป็นวัวตัวผู้กำลัง 2 ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อในเรื่องเหลว ไหลทั้งหลาย แต่เพราะฉันทำอาหารได้อร่อยมาก เขาจึงกินอาหารทุกวันกับฉัน และเขาก็ไม่ต่อต้านอาหารมังสวิรัติ หลังจากที่ฉันจากเขาไปเพื่อ “ความคิดเพื่อช่วยโลก” (ท่านอาจารย์พูดล้อเล่น) เขาก็ได้รวบรวมสูตรปรุงอาหารทั้งหมดของฉันและทำอาหารให้เพื่อนเขากิน เขามักจะโฆษณาอยู่เสมอๆ ว่า “ภรรยาของฉันเคยทำอย่างนี้ ภรรยาของฉันเคยทำอย่างนั้น และผักทั้งหลายนั้นอุดมไปด้วยวิตามิน” เขาทำเหมือนกับสูตรที่ฉันได้ทิ้งไว้ให้
ถ้าแม้กระทั่งชาวตะวันตก คนเยอรมัน นายแพทย์ที่มีสมองทางวิทยาศาสตร์แบบนั้นสามารถเป็นมังสวิรัติได้ เธอก็สามารถเป็นมังสวิรัติได้ด้วยเหมือนกัน ถ้าหากภรรยาทั้งหลายทำอาหารที่อร่อย เธอก็จะไม่ขาดอะไรไป ยกตัวอย่างเธอกินซุปชามหนึ่ง เช่น ซุปจีน ในซุปมีบะหมี่และเนื้อสัตว์ แทนที่จะใช้เนื้อสัตว์พวกนั้น เธอก็สามารถใช้หมี่กึน เต้าหู้หรือแฮมเจทุกอย่าง ทุกชนิดแม้กระทั่งปลา ทุกอย่างสามารถทำได้เหมือนกันกับอาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญ ฉันเชื่อว่าหนทางไปสู่การรู้แจ้งนั้นต้องผ่านกระเพาะอาหาร เพราะฉะนั้นภรรยาของเธอขอให้ดูแลนิ้วอันมีฝีมือของเธอ ทำอาหารให้สวยและอร่อยเพื่อว่าสามีของเธอจะได้กินกับเธอได้ ผู้หญิงนั้นง่ายกว่า จริงๆ นะ ทันทีที่เธอเชื่ออะไรบางอย่าง เธอก็กินไม่เลือก (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ผู้ชายพวกเขามีความเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่า พวกเขาเน้นในความเป็นจริงมากกว่า ไม่มีอารมณ์อ่อนไหวเหมือนอย่างผู้หญิง ผู้หญิงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความรู้สึก อารมณ์ ความเสน่หา ดังนั้นเมื่อเธอเชื่อ เธอก็จะกินและไม่สนใจว่ามันจะมีรสชาดอย่างไร (เสียงหัวเราะ) แต่ผู้ชายพวกเขาอยู่ในสภาพที่วิกฤตกว่า เพราะฉะนั้นรสชาติจึงต้องมาก่อน จากนั้นจึงจะเป็นการรู้แจ้ง (เสียงหัวเราะ)
ถาม: ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ กรุณาอธิบายความสัมพันธ์ทางด้านจิตวิญญาณของเรากับท่าน หลังจากที่ท่านตายไปแล้ว และคนคนนั้นได้รับการประทับจิตแล้ว การเดินทางกลับบ้านของพวกเรายังคงได้รับการรับรองโดยจิตวิญญาณของท่านหรือไม่?
ตอบ: ได้รับการรับรอง (เสียงปรบมือ) ตามที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้น เราไม่ใช่ร่างกาย เราคือจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นเมื่อร่างกายนี้ไปหรือมาก็ไม่มีความแตกต่าง ไม่มีระยะทางระหว่างเรา และฉันก็ได้บอกเธอแล้วว่าในเวลาประทับจิตได้มีการอธิบายธรรมวิถีให้กับเธอเพื่อเธอจะใช้มันได้ตลอดชีวิต ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาขวางกั้นได้อีกต่อไป เว้นเสียแต่ว่าเธอจะไม่ต้องการมันและเธอจากไป แต่เมล็ดพันธุ์ก็ยังคงมีอยู่สำหรับชาติหน้า
ถาม: ท่านอาจารย์ ลูก 5 คนของฉันได้รับการประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิมแล้ว แต่ฉันค่อนข้างมีอายุมาก การรู้แจ้งมีไว้สำหรับทุกคนหรือเปล่า? มีเงื่อนไขที่จำเป็นอะไรบ้างหรือว่าความจริงใจเป็นบรรทัดฐานอย่างเดียวเท่านั้น
ตอบ: ใช่ มีความจริงใจก็พอเพียงแล้ว แต่เมื่อคนมีอายุมากเกินไปอย่างเช่นผ่านอายุระดับหนึ่งไป บางครั้งกายเนื้อและความจำก็ไม่เฉียบแหลมอีกต่อไป เช่นนี้เราก็อาจจะบอกพวกเขาว่าให้กลับมาอีกครั้งในคราวหน้าในชาติหน้า หรือเพียงแค่บำเพ็ญวิถีสะดวกก็สามารถช่วยเขาหรือหล่อนได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการประทับจิต แต่นั่นก็เป็นการรับประกันสำหรับคนๆ เดียวเท่านั้น ส่วนการประทับจิตนั้นรับประกันสำหรับหลายชั่วโคตรและนั่นก็คือข้อแตกต่าง ด้วยการประทับจิตและการบำเพ็ญด้วยตัวของเธอ เธอยังสามารถกลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งและช่วยวิญญาณได้มากมายด้วย
ถาม: ท่านอาจารย์ทำไมศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิด? คัมภีร์ไบเบิลได้พูดถึงเรื่องการกลับชาติมาเกิดหรือไม่?
ตอบ: คัมภีร์ไบเบิลได้พูดไว้ แต่ได้ถูกตัดข้อความออกไป เมื่อมีคนถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นเอเลียส หรือเปล่า ว่าพระองค์เป็นบุคคลคนนั้นคนนี้ เป็นอาจารย์ในอดีตหรือเปล่า หมาย ความว่าพระองค์เป็นอาจารย์ในอดีตเหล่านั้นที่กลับชาติมาเกิดหรือเปล่า พระองค์ก็นิ่งเงียบ นั่นเป็นตอนหนึ่งของไบเบิลที่คนลืมตัดทิ้งไป สมมุติว่าการกลับชาติมาเกิดไม่มีจริงพระเยซูก็จะพูดว่า “ไม่ๆ ไม่มีเรื่องอย่างว่า เรื่องที่อาจารย์กลับชาติมาเกิด ฉันคือตัวฉันเท่านั้น ครั้งเดียว ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีก่อน ไม่มีหลัง” พระองค์นิ่งเงียบ และในสมัยนั้นการนิ่งเงียบก็หมายถึงโอเค การตกลง การยอมรับ ไม่อย่างนั้นแล้วพระเยซูก็คงจะได้อธิบายเพื่อที่จะไม่ทำให้ลูกศิษย์ของพระองค์เข้าใจผิด แต่พระ องค์นิ่งเงียบ
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ถ้าคนคนหนึ่งได้รับการประทับจิตแล้ว 5 ชั่วโคตรจะได้รับการช่วยเหลือ แล้วสมาชิกครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งกินเนื้อสัตว์และดื่มแอลกอฮอล์ จะได้รับการช่วย เหลือด้วยหรือเปล่า?
ตอบ: พวกเขาก็จะได้รับการช่วยเหลือเช่นกันอย่างน่าเศร้าใจแต่นับว่าโชคดี (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) นั่นก็คือว่าถ้าหากพวกเขาจงใจไม่ต้องการการหลุดพ้นอาจารย์ก็จะไม่บังคับ แน่นอน เป็นเพราะว่าแต่ละคนนั้นคือพระเจ้า เราจะต้องจำไว้ว่าพวกเราแต่ละคนคือพระเจ้า ไม่มีใครสามารถบอกพระเจ้าว่าให้ทำอะไรได้แม้กระทั่งพระเจ้าองค์อื่น เขาจะเลวอย่างไร เขาจะดีอย่างไรนั่นก็คือการตัดสินใจของเขาเอง เส้นทางในชีวิตของเขาเองที่จะเลือก เขาเลือกที่จะเล่นบทบาทนี้ แม้ว่าเขาเลวก็นับว่าเขาโอเคด้วยเหตุนี้ไบเบิลจึงได้บอกเราว่าจงอย่าตัดสิน
ถาม: ก่อนที่เราจะกลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้ง เราได้ตั้งปณิธาณว่าจะทำสิ่งนี้ทำสิ่งนั้นเพื่อมนุษย์ และเราตั้งปณิธาณว่าจะรับใช้พวกเขา แต่หลังจากที่เราได้กลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้ง แล้ว เราก็เปลี่ยนใจด้วยเหตุผลบางประการ เพราะตอนนี้เรามีการมองที่แตกต่างออกไป เราเป็นอิสระที่จะไม่ปฏิบัติตามที่เราได้ตั้งปณิธาณเอาไว้หรือไม่ หรือเราจะต้องปฏิบัติตามที่เราได้ตั้งปณิธาณเอาไว้เนื่องด้วยกฎแห่งกรรม?
ตอบ: เรามีอิสระ เรามีอิสระที่จะทำสิ่งที่เราต้องการ
ถาม: สวัสดีท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ โปรดแสดงทัศนะของท่านในเรื่องโลกในฐานะที่เป็นสรรพสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งใช้ความรักช่วยนำพวกเราให้กลับไปยังสวรรค์
ตอบ: ทุกอย่างถูกสร้างมาจากพระเจ้า ไบเบิลได้กล่าวไว้เช่นนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นมาจาก “พระวจนะ” ซึ่งหมายถึงแรงสั่นสะเทือนของจักรวาล และแรงสั่นสะเทือนนั้นคือพระเจ้า สิ่งนั้นคือธรรมวิถีกวนอิม นั่นคือสิ่งที่เราสอนให้เธอปรับตั้งเสียงเข้าหา ปรับเข้าหาแรงสั่นสะเทือนของจักรวาล เข้าหาแหล่งของการสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งถ้าเราเป็นมนุษย์ ถ้าเรามาจากพระเจ้า โลกอันยิ่งใหญ่หรือทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลก็เช่นกัน มันมีคุณสมบัติของพระเจ้าด้วยเหมือนกัน แต่อาจจะเป็นในรูปแบบที่แตกต่างออกไปหรือมีความหนาแน่นที่แตกต่างออกไป ดังนั้นในกรณีนั้นโลกจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกันตามที่เธอได้กล่าวถึง เราอาศัยอยู่ที่นี่ เราอาศัยโลกในการมีชีวิตอยู่ แน่นอนเราจะต้องเคารพมารดาผู้ยิ่งใหญ่นี้ (เสียงปรบมือ)
ชดใช้กรรมในความฝัน
ถาม: เราชดใช้กรรมในความฝันของเราหรือไม่? เราชดใช้กรรมได้อย่างไร?
ตอบ: เราใช้กรรมในความฝันของเราก็ต่อเมื่อเป็นพระกรุณาของพระเจ้า มิฉะนั้นแล้วส่วนใหญ่เราจะต้องชดใช้ทางด้านร่างกายเหมือนอย่างตาต่อตา ฟันต่อฟัน เมื่อได้รับการประทับจิตหรือได้รู้แจ้ง เราก็จะมีชีวิตอยู่ภายใต้พระกรุณาของพระเจ้า เราไม่มีชีวิตอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมมากนักอีกต่อไป ยกเว้นกรรมลิขิตบางอย่างที่มีอยู่แล้ว เหมือนอย่างเช่นเราจะต้องมีกรรมที่แน่นอนบางอย่างเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในชาตินี้ เราก็จะต้องมีกรรมนั้นต่อไป แต่มันก็สามารถลบได้ในระดับหนึ่ง มันสามารถทำให้เบาบางลง สามารถทำให้ลดน้อยลงได้มาก หรือสามารถชดใช้ในความฝัน เฉพาะในเวลานั้นเท่านั้น
ถาม: ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นถ้าบุคคลหนึ่งได้รับการประ ทับจิตแต่ไม่สามารถนั่งสมาธิตามที่กำหนดไว้ 2 ชั่วโมงครึ่งได้
ตอบ: ถ้าเช่นนั้น เขาก็คงจะอยู่ในชั้นเรียนเป็นระยะเวลาหนึ่ง (เสียงหัวเราะ) เหมือนอย่างพวกเธอที่เป็นนักเรียน เกิดอะไรขึ้น ถ้าเธอลงทะเบียนเรียนวิชาหนึ่ง แล้วเธอก็เรียนไม่ดี? เธอก็จะต้องอยู่ในชั้นนั้น (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แทนที่จะได้ ‘เอ’ เธอก็จะได้ ‘เจ’ มันก็เป็นแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงเป็นนักศึกษาวิทยาลัยอยู่ เธอไม่ใช่เป็นเด็กนักเรียนประถมหรือเด็กอนุบาล อย่างน้อยที่สุดเธอก็เป็นนักเรียนวิทยาลัย เรื่องนั้นไม่มีข้อสงสัยใดๆ เพียงแต่มีความเป็นนักศึกษาน้อยกว่า
ถาม: ฉันอยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับบุคคลที่ถ่าย ทอดธรรมวิถีกวนอิมให้กับท่าน เขาเป็นพระเยซูกลับชาติมาเกิดหรือว่าเป็นตัวท่าน? เขาหรือหล่อนมีชื่อที่ท่านจะแบ่งปันให้พวกเราทราบได้ไหม?
ตอบ: ฉันได้บอกให้เธอทราบในเทปม้วนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ท่านมีชื่อว่าอาจารย์คูดาจี ท่านได้กลับไปสู่พระเจ้าแล้ว พระเยซูไม่เคยกลับชาติมาเกิด และอาจารย์คนอื่นๆ ก็เช่นกัน การกลับชาติมาเกิดนั้นมีสำหรับพวกเราเท่านั้น พวกมนุษย์ พวกคนที่เต็มไปด้วยกรรม เพราะฉะนั้นเธออาจจะพูดว่าพระเยซูได้กลับชาติมาเกิด หรือเธออาจจะพูดว่าพระเยซูไม่ได้ กลับชาติมาเกิดก็ได้ ไม่ใช่เป็นพระเยซูที่กลับชาติมาเกิด มันเป็นพลังพระคริสต์ซึ่งกลับมา พลังพระคริสต์ซึ่งลงมายังบุคคลต่างๆกันด้วยพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อจะช่วยมวลมนุษย์ เพราะฉะนั้นเธออาจจะพูดได้ว่า “ใช่” เธออาจจะพูดได้ว่า “ไม่ใช่” (เสียงปรบมือ)
ถาม: คำสอนของท่านเกี่ยวข้องกับศาสนาโดยทั่วไปอย่างไร? คำสอนของท่านช่วยเสริมความศรัทธาของเราในศาสนาของเราเองหรือไม่?
ตอบ: ใช่ มันช่วยเสริม เธอก็รู้อยู่แล้ว ฉันทำให้เธอเข้าใจศาสนาของเธอได้ดีขึ้นลึกซึ้งขึ้น และถ้าตัวเธอเองได้รู้แจ้งเธอก็จะกลายเป็นศาสนา เธอจะกลายเป็นสัจธรรม เธอจะสามารถเขียนคัมภีร์ไบเบิลอีกเล่มหนึ่งได้ แต่เธอไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นมีไบเบิลเล่มเดียวก็พอแล้ว เธอเพียงแค่พิสูจน์มัน เธอเพียงแค่เข้าใจมันสิ่งนั้นก็นับว่าดีแล้ว
ถาม: ท่านจะบอกให้เราทราบในเรื่องความฝันของเราได้ไหม?
ตอบ: ความฝันมีหลายชนิด บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี บางครั้งความฝันก็กลายเป็นจริงขึ้นมา บางครั้งความฝันก็เป็นเพียงชิ้นส่วนของการเก็บสะสมข้อมูลต่างๆกันประจำวัน มันจึงเป็นเหมือนกับสลัดผักรวม บางครั้งความฝันก็เป็นการบอกให้รู้อนาคตหรือทบทวนเรื่องราวในอดีตหรือเป็นความปรารถนาที่ลึกที่สุดของเธอ นั่นเป็นความฝันที่มีทัศนวิสัยที่เหนือมนุษย์ซึ่งเป็นนิมิตชนิดหนึ่ง ผู้บำเพ็ญกวนอิมจำนวนมากหรือคนที่นั่งสมาธิมีความฝันชนิดนี้เหมือนนิมิต พวกเขาฝัน แต่ฝันนั้นแจ่มชัดในเรื่องสีสัน แสง ความแจ่มจรัสและสุกสว่างมาก มันไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปมันเป็นนิมิต พวกเขาไปสวรรค์และอะไรแบบนั้น เมื่อเธอนั่งสมาธิและไปสวรรค์มันเกือบจะเหมือนเป็นความฝัน ยกเว้นเมื่อเธอตื่นขึ้นมาแล้วเธอจะรู้สึกตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นดีใจมาก มีพลังมาก เต็มไปด้วยชีวิตและความรัก จนเธอไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับตัวเธอ เธออยากจะกอดทุกคนและจูบพวกเขาแต่อย่าไปทำแบบนั้น (เสียงหัวเราะ) คนจะคิดว่าเธอสติไม่ดี
ถาม: สัตว์และพืชมีพระเจ้าของพวกมันไหม?
ตอบ: เรามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น (เสียงหัวเราะ) พระเจ้าองค์เดียวกัน พระเจ้าองค์เดียวสำหรับทุกคน พระเยซูได้พูดว่าจงมองดูดอกลิลลี่ในท้องทุ่ง พระบิดาได้ดูแลพวกมันอย่างไร [Mtt 6:28] เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน (เสียงหัวเราะ) เธออ่านคัมภีร์ไบเบิล แต่เธอกลับมาถามคำถามฉันมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในไบเบิลหมดแล้วไม่ใช่หรอกหรือ?
ถาม: ฉันจะตัดขาดจากประสบการณ์ในอดีตชาติให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร?
ตอบ: ประสบการณ์ในอดีตชาติ? ฉันได้บอกเธอแล้วไงล่ะ การประทับจิต ในเวลาประทับจิตกรรมที่เก็บสะสมไว้อาจารย์จะลบล้างออกไป ดังนั้นเธอจึงไม่มีกรรมในอดีตอีกต่อไปแต่ก็ยินดีถ้าเธอจะไปเก็บเอากรรมบางอย่างมาถ้าเธอต้องการ (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ถ้าเธอต้องการกลับมายังชาตินี้ ก็ขอยินดีต้อนรับ
ถาม: โปรดกรุณาชี้แจงว่าท่านหมายความว่าอย่างไรเมื่อท่านพูดว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า และเราทั้งหมดต่างก็เป็นพระเจ้า ท่านหมายความว่าการบูชาพระเจ้านั้นไม่มีความจำเป็นเนื่องจากเราก็เป็นพระเจ้าอยู่แล้วใช่ไหม?
ตอบ: ไม่ใช่ มันมีความจำเป็น เราบูชาพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำหลังจากที่เราได้รู้จักว่าใครคือพระเจ้า ท่านเป็นผู้ที่มีความรักอย่างไรและท่านอยู่ใกล้เราอย่างไร ใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าเพื่อนที่เป็นที่รักยิ่งในโลกนี้ ใกล้เสียยิ่งกว่าผิวหนังของเราเอง ในเวลานั้นเธอบูชาพระเจ้าจริงๆ บูชาด้วยความหมายที่แท้จริงมากกว่า ในขณะนี้เราเพียงแต่สั่งพระเจ้า “โอ ได้โปรดให้เงินฉัน ได้โปรดให้ภรรยาแก่ฉัน ได้โปรดให้งานฉัน ได้โปรดๆๆ…” เราไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ เราคือพระเจ้า แต่เรายังไม่เป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้นขอให้รู้จักพระเจ้าก่อน แล้วจึงค่อยมาถามคำถามฉันในภายหลัง หลังจากที่เธอรู้จักพระองค์แล้วเธอก็มาบอกฉัน
ถาม: ความรักของมนุษย์มีบทบาทในการรู้แจ้งของเราอย่างไร?
ตอบ: ความรักของมนุษย์? เป็นการดีที่จะถูกรักไม่ว่าจะโดยมนุษย์หรือโดยสัตว์ ทุกครั้งที่เราถูกรักไม่สำคัญว่าใครรักเรา อะไรที่รักเรานั่นก็คือพระเจ้าที่รักเรา มันไม่ใช่เป็นความรักของมนุษย์ มันไม่ใช่เป็นความรักของมารดา มันไม่ใช่เป็นความรักฉันท์พี่น้อง อันที่จริงแล้วทั้งหมดต่างก็เป็นความรักของพระเจ้า ไม่ว่าจะแบ่งแยก ถูกทำให้ลดน้อยลงหรือปรับเปลี่ยน ทุกคนที่รักเรานั่นก็คือพระเจ้าที่รักเรา ดังนั้นจึงไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรมีแต่ช่วยเหลือเท่านั้น เมื่อใครบางคนรักเรา เมื่อคน 2 คนรักกันและกัน รู้แจ้งด้วยกัน ก็จะเป็นประโยชน์มากนับว่าดีมาก
ถาม: ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ? ปัญหาของมันคืออะไร?
ตอบ: โธ่ ฉันไม่ใช่เป็นนักวิทยาศาสตร์ เธอหมายความว่าเรามาจากลิงและอะไรพรรค์นั้นใช่ไหม? (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เราทั้งหมดต่างก็มาจากพระเจ้า อาจจะมีความเกี่ยวโยงบางอย่างระหว่างมนุษย์และสัตว์ เพราะบางครั้งมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ร่วมกัน บางครั้งพวกเขาก็เลี้ยงดูซึ่งกันและกันด้วยความบังเอิญ ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ แต่มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความแตกต่างมาก เราไม่ได้วิวัฒนาการเราถูกสร้างให้เป็นเหมือนพระเจ้าทั้งหมดก็มีเท่านั้น พระเจ้าก็สร้างสัตว์ด้วยเช่นกัน พระองค์ได้กล่าวไว้ในบทแรกไม่ใช่หรอกหรือ? ในคัมภีร์เก่าหน้า 1 ได้กล่าวไว้ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์และผลไม้ สมุนไพรทั้งหลาย พระองค์ได้กล่าวถึงการเป็นมังสวิรัติอยู่หลายแห่ง พระองค์กล่าวว่า ฉันได้สร้างผลไม้และสมุนไพร ทั้งหลายในท้องทุ่ง ซึ่งเป็นที่น่ายินดีต่อสายตาและมีรสอร่อย ทั้งหลายนี้จะเป็นอาหารของเธอ พระองค์ยังได้กล่าวว่าสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ฉันได้สร้างอาหารสำหรับสัตว์แต่ละชนิดด้วยเช่นกัน พระองค์ไม่ได้กล่าวว่าเราวิวัฒนาการมาจากสัตว์ พระ องค์กล่าวว่าเราคือผู้ปกครองของอาณาจักรสัตว์ เราคือกษัตริย์ของพวกมัน ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องสับสนในเรื่องวิวัฒนาการ เราเป็นมนุษย์ สัตว์ก็มาจากพระเจ้าด้วยเหมือนกันแต่พวกมันไม่ใช่มนุษย์
ถาม: เพื่อบรรลุการรู้แจ้งที่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถทำได้ในชาติเดียว เป็นไปได้ไหมที่จะทำโดยไม่ไปต้องหิมาลัยเหมือนที่ท่านได้ทำ เราจะใช้เวลาน้อยกว่า 7 ปีหรือไม่เนื่องจากท่านเป็นอาจารย์ที่สมบูรณ์พร้อมและมีเมตตาเช่นนี้?
ตอบ: เธอไม่จำเป็นต้องไปยังภูเขาหิมาลัย ฉันได้บอกเธอแล้ว มันเป็นกรรมของฉันๆ จะต้องไปที่นั่น กรรมของเธอนั้นดีกว่าเธอนั่งอยู่ที่นี่และรู้แจ้งบนโซฟา (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มันอาจจะกินเวลา 7 ปี 7 เดือน สุดแล้วแต่เธอขึ้นอยู่กับชะตากรรมของเธอ ซึ่งนั่นก็คือขึ้นอยู่กับทางเลือกที่เธอได้เลือกด้วยตัวเธอเองก่อนที่เธอจะมาเกิด เรื่องนั้นฉันไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้มีเพียงเธอเท่านั้นที่ทราบ เธอพึงพอใจกับตัวเธอเอง กับทางเลือกที่เธอได้ทำก่อนที่เธอจะมาที่นี่ เพราะฉะ นั้นไม่ต้องรีบเร่ง จะเป็นอย่างไรนั่นก็เป็นทางเลือกของเธอ เธอและพระเจ้าได้ทำข้อตกลงเรียบร้อยแล้วว่าเธอจะใช้เวลา 7 ปี ใช้เวลา 17 ปี 20 ปีหรืออะไรก็ตามแต่ เรามีชีวิตที่เป็นนิรันดรไม่มีปัญหาในเรื่องที่ว่าจะเป็นกี่ปี แต่การรู้แจ้งจะเกิดขึ้นทันทีในเวลาประทับจิต มันเป็นเพียงการรู้แจ้งที่สมบูรณ์ บางครั้งก็แตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับคน ขึ้นอยู่กับความขยันของเธอ ขึ้นอยู่กับว่าเธอรีบร้อนแค่ไหนที่จะกลับบ้าน เธอมีรถยนต์ เธอจะขับเร็ว เธอจะขับช้าก็ได้ อย่ามาถามฉันว่า 7 ปีหรือกี่ปี มันไม่สำคัญอะไร หลังจากที่เธอรู้แจ้งแล้วเธอจะมีความสุขมากขึ้นๆ ทุกๆ วัน เธอไม่สนใจว่าจะเป็นกี่ปี ในตอนนั้นเธอจะไม่คิดถึงเรื่องการรู้แจ้งอีกต่อไปเสียด้วยซ้ำ เพราะเธอรู้จักพระเจ้า เธอรู้จักความสุข เธอสมปรารถนาพึงพอใจ
ถาม: ความชั่วร้ายของโลก หรือกรรมที่เป็นลบสามารถแปร เปลี่ยนเป็นกรรมดีหรือกรรมที่เป็นบวก โดยการที่คนใช้เปลวไฟสีม่วงหรือแสงสีทองแห่งพลังงานของมหาตมะได้หรือไม่?
ตอบ: พลังงานที่เป็นลบ มีความจำเป็นสำหรับเราที่จะทำให้รู้ จักพระเจ้า เราได้เลือกที่จะรู้จักความมืดเพื่อทำให้เรารู้จักแสงสว่าง วิธีนั้นเราสามารถพูดได้ว่าเราเปลี่ยนสิ่งที่เป็นลบให้เป็นบวก มิฉะนั้นแล้วสิ่งที่เป็นลบก็คือสิ่งที่เป็นลบ สิ่งที่เป็นบวกก็คือสิ่งที่เป็นบวก ไม่มีทางเลยที่เธอจะพูดว่าความมืดคือแสงสว่าง แต่ความมืดมีเพื่อช่วยให้แสงมีความสว่างในความมืดเพื่อเธอจะได้รู้จักมัน ฉันเดาว่าสิ่งที่เขาหมายถึงก็คือถ้าเธอนั่งสมาธิแล้วเธอได้เห็นแสง เธอสามารถทำให้พลังที่เป็นลบเป็นกลางได้หรือเปล่า แน่นอน นั่นก็คืออย่างที่มันเป็น เมื่อแสงมา ความมืดก็จะหายไป ไม่ว่ามันจะเป็นเปลวไฟสีม่วงหรือเปลวไฟสีทอง ขึ้นอยู่กับระดับของจิตสำนึก แสงสีม่วงเป็นแสงในระดับที่ต่ำกว่า แสงสีทองนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่า เธอจะรู้จักมันในภายหลังเมื่อเธอนั่งสมาธิ
ถาม: ท่านได้เดินทางไปเหนือสวรรค์และแสงหรือเปล่า ถ้าใช่ ที่นั่นเป็นอย่างไร? (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ตอบ: เธอต้องการชิมช็อกโกแลตของฉัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) เพราะฉันเป็นคนที่กินมัน แต่ฉันมีช็อกโกแลตอีกชิ้นหนึ่ง และฉันยินดีให้เธอลองชิมดู ฉันสามารถบอกเธอได้ว่ามันหวาน มันเป็นก้อนมันชุ่มฉ่ำ แต่เธอก็เพียงแต่ได้ยินคำพูดเธอไม่เข้าใจ เธอจะต้องกินมัน กินช็อกโกแลต รับการประทับจิตนั่งสมาธิแล้วเธอก็จะรู้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรเลยที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเราที่เป็นมนุษย์
การรู้แจ้งคือกุญแจสู่ทุกสิ่ง
ถาม: อะไรคือวิธีการที่ได้ผลที่สุดที่จะขจัดนิสัยที่เลวๆ จากชี วิตของคนคนหนึ่ง เมื่อพวกเขารู้สึกเสมือนเป็นโซ่รอบเท้าและมือของฉัน?
ตอบ: มันยาก แต่ถ้าเรารู้แจ้งสิ่งต่างๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด นั่นคือวิธีการที่นักบุญถูกสร้างขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จึงมีกล่าวไว้ในวัฒนธรรมของเธอว่านักบุญทั้งหลายมีอดีต และคนบาปทั้งหลายมีอนาคต ขอให้เชื่อในพระเจ้า ยอมรับพระกรุณาของพระเจ้าด้วยการบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง โดยการผ่านแสงแห่งการชี้นำภายในตัวเธอ โดยผ่านพระเจ้าในตัวเธอ ทุกอย่างเป็นไปได้ เธอสามารถแม้กระทั่งยกระดับตัวเธอจากความตายมาสู่ชีวิต เธอสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บของเธอเอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนิสัย โรคที่ถึงตายด้วยซ้ำ ทุกอย่างเป็นไปได้ในแสงของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมาบอกข่าวดีให้เธอทราบ ข่าวที่ดีมาก
ถาม: ถ้าหากเธอเป็นบุตรบุญธรรม ครอบครัวที่เป็นสายเลือดหรือที่รับเลี้ยงดูเธอ ทางสายไหนที่ได้รับการช่วยเหลือ?
ตอบ: ทางสายเลือดแต่ที่รับเลี้ยงดูก็ด้วยเช่นกัน เพราะฉันได้บอกเธอแล้วแม้กระทั่งหมา แมวของเธอก็ยังได้รับประโยชน์ เธอจะเห็นได้ในเรื่องนี้ ฉันไม่ได้ล้อเล่น เธอจะเห็นว่าหมาของเธอแมวของเธอรู้แจ้ง พวกมันจะเปลี่ยนแปลงไป มันจะนั่งใกล้ๆ เธอมันจะนั่งสมาธิกับเธอ (เสียงหัวเราะ) ใช่ มันจะกลายเป็นแมวนักบุญ มันจะกลายเป็นมังสวิรัติเสียด้วยซ้ำ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) ใช่ อ่านธรรมสารของเราสิ มีเรื่องจริงมากมายในนั้น ทุกอย่างที่เธออ่านในนั้นเป็นความจริง วิญญาณทั้งหลายยังคงมีชีวิตอยู่ เธอได้พบนักบุญสมัยใหม่ในหน้าหนัง สือเหล่านั้น แม้กระทั่งแมวและหมาก็น่ารักมาก ธรรมวิถีกวนอิม! แม้กระทั่งเพื่อนและคู่รักของเธอซึ่งไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดก็ยังได้รับประโยชน์จากการบำเพ็ญของเธอ จากแสงของเธอ เพราะพระพรของพระเจ้านั้นมีความกรุณาปรานีมาก เราไม่สามารถจินตนาการได้ มันเหลือเชื่อ!
ถาม: ถ้าเธอได้รับการประทับจิต นั่นหมายความว่าเธอไม่สามารถฆ่าแมลง หนูและอื่นๆ ที่เข้ามาในบ้านของเธอใช่ไหม? แล้วเรื่องการดึงวัชพืชล่ะ? (เสียงหัวเราะ)
ตอบ: ในบางกรณีพวกปลวกจะย้ายออกไป ถ้าหากเธอรักษาบ้านของเธอให้สะอาดถูกสุขอนามัย เธอก็ไม่ต้องฆ่าพวกมัน การดึงวัชพืชนั้นทำได้ ขอเพียงท่องชื่อของพระเจ้าและทำตามที่เธอต้องทำ เธอไม่ได้ฆ่าด้วยความรุนแรง เธอไม่ได้ฆ่าด้วยความเกลียดชัง แต่เธอต้องปกป้องสุขภาพของเธอและสมาชิกในครอบครัวของเธอ ถ้าหากมันจำเป็นจริงๆ มิฉะนั้นแล้วในหลายกรณี เมื่อผู้ประทับจิตของเรานั่งสมาธิ แมลงที่เป็นภัยทั้งหลายก็จะหายไป พวกแมลงและอะไรแบบนั้นจะไม่เข้ามาใกล้ มันสะดวกมากและประหยัดดีทุกอย่างจะไปจากเรา
ถาม: ท่านคิดว่าการหย่าร้างนั้นเป็นอย่างไร?
ตอบ: ไม่ดี การหย่าร้างเป็นหนทางสุดท้ายของความสัมพันธ์ในด้านความรัก และมันไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลย แต่มันยากมากที่จะแก้ไข เนื่องจากผู้ชายและผู้หญิงนั้นแตกต่างกันมาก ผู้ชายนั้นเยือกเย็นกว่า ตรงไปตรงมา เรียบง่าย ผู้หญิงมีความอ่อนไหวในอารมณ์ มีความโรแมนติกมากกว่า เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเหมือนนักรบและนางงามจึงมักจะไม่สามารถเข้ากันได้ดี แต่มีหลายวิธีที่จะประนีประนอมซึ่งกันและกัน มีการให้คำปรึกษาทางด้านการสมรส มีหนังสือในเรื่องนี้ และแน่นอนมีการนั่งสมาธิซึ่งจะประนีประนอมความแตกต่างมากมาย เธอจะเห็นว่าเธอทั้ง 2 ได้เปลี่ยนแปลงไป – มีความรักมากขึ้น มีความเข้าใจมากขึ้น และมีความเรียกร้องน้อยลง ถ้าเธอทั้ง 2 อยู่ในระดับที่เกือบคล้ายคลึงกัน มิฉะนั้นแล้วเธอก็จะยังคงมีความขัดแย้งอยู่ แต่เธอยังคงรักซึ่งกันและกัน เธอจะไม่ใช้การหย่าร้างเข้าจัดการแก้ปัญหามากเท่ากับคนอื่นที่ไม่ได้บำเพ็ญความสงบสุขภายใน พวกเขาจะหย่าร้างกันมากกว่า
ฉันจะไม่หย่าจากสามีของฉัน ถ้าตอนนั้นฉันได้รู้แจ้ง ฉันขอบอกให้เธอทราบว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุด และเขาก็ยังคงเป็นอยู่ แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดของคนอื่นไปแล้ว (ท่านอาจารย์ใช้มือแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์นั้นได้จบสิ้นลงไปแล้ว) หลังจากที่รู้แจ้งแล้ว เธอจะเรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าในตัวคู่ของเธอมากขึ้น ความขัดแย้งในครอบครัวมากมายได้ถูกลบล้างออกไปหลังจากประทับจิต ถ้าหากสามีและภรรยานั่งสมาธิด้วยกัน มันช่วยได้จริงๆ เพราะเธอตระหนักว่าเธอทั้ง 2 เป็นพระเจ้า ความรักในตัวเธอจะเกิดขึ้น จะแผ่ขยายเพื่อครอบคลุมความแตกต่างทั้งหลายระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เธอจะเรียนรู้ที่จะรักซึ่งกันและกัน เคารพซึ่งกันและกันในฐานะที่เป็นพระเจ้า นอกเหนือจากความรักทางด้านวัตถุ ก็ยังมีความรักอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจะผูกมัดเธอทั้ง 2 เข้าด้วยกัน ทำให้เธอมีความรักมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และมีความรู้สึกไวมากขึ้นต่อความรู้สึกและความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง
ถาม: จะเกิดปัญหาอะไรเมื่อคนคนหนึ่งมีกุญแจสู่การรู้แจ้งแต่ไม่ได้เปลี่ยนให้เป็นจิตสำนึกของพระเจ้า?
ตอบ: ในกรณีนั้นเธออาจจะลองดูอีกครั้งในภายหลังเมื่อเวลาของเธอมาถึง ทุกคนมีเวลาของเขา ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน เรามีเวลาตลอดกาล
ถาม: เป็นความจริงหรือไม่ที่ว่าเหนือระดับที่ 2 จะไม่มีกรรมอีกต่อไป? ถ้ากรรมทำให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ หากเราไม่มีกรรมอีกต่อไป เราจะยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไหม?
ตอบ: ไม่มีกรรมหมายความว่าหลังจากโลกที่ 3 ไปแล้ว เมื่อเธอมาถึงระดับที่ “ไร้กรรม” เธอจะไม่ก่อกรรมอีก แต่กรรมในปัจจุบันซึ่งทำให้เธอมีชีวิตอยู่ในชาตินี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปจนกระ ทั่งเวลาของเธอหมดลง และเมื่อไรก็ตามที่เวลาของเธอหมดลง นั่นหมายความว่ากรรมได้หมดไปเธอไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่เมื่อเธอไปถึงระดับที่ 3 นั่นหมายความว่าบุคคลประเภทที่เธอเป็น สภาพจิตใจของเธอจะไม่ปล่อยให้เธอสร้างกรรมอีกต่อไป เธอจะทำทุกอย่างอย่างมีคุณธรรมโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ได้หมาย ความว่าเธอตายในทันทีเพราะกรรมปัจจุบันยังคงมีอยู่ กรรมที่ได้ลิขิตเอาไว้สำหรับชาตินี้ว่า เธอจะต้องก้าวย่างกี่ก้าว เธอจะต้องสูดลมหายใจเข้าไปเท่าไร เธอจะต้องกินอาหารเท่าไร เธอจะมีชีวิตอยู่กี่วัน ทั้งหมดนี้ได้ถูกเขียนเอาไว้แล้ว เราไม่ได้ลบล้างกรรมเหล่านั้น เราสามารถทำได้ ถ้าหากเราต้องการ แต่ทำไมล่ะ? เพียงแค่มีชีวิตอยู่มากขึ้นอีก 2-3 ปีหรือมากขึ้นอีก 2-3 วัน จะต้องรีบร้อนไปทำไมกัน? ถึงอย่างไรมันก็เป็นครั้งสุดท้ายอยู่ดี
อาจารย์มีแต่ให้ ไม่เคยรับ
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ฉันต้องการบำเพ็ญและสอนการทำสมาธิ แต่ฉันก็มีสิ่งของที่เป็นวัตถุมากมายด้วยเช่นกัน ฉันจะทำได้อย่างไร? ฉันไม่ต้องการทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยงานอื่นที่นอกเหนือจากการสอนทำสมาธิ ได้โปรดแนะนำ
ตอบ: คนนั้นคือใคร? คือเธอ ตอนนี้เธอกำลังสอนอยู่หรือเปล่า? และเธอหาเงินจากการสอนนั้นใช่ไหม?
ถาม: ใช่ แต่ไม่พอ
ตอบ: ไม่พอ งั้นจะทำอะไร? เธอจะต้องคบคนให้กว้างขึ้น เธอมาถามคนผิดแล้วล่ะ ฉันไม่รับเงิน
ถาม: ท่านหาเลี้ยงชีพอย่างไร?
ตอบ: ฉันหาเงินด้วยการออกแบบเสื้อผ้า ฉันวาดรูป ฉันทำ… ไม่รู้สิ ฉันทำอะไรอื่นอีกนะ? – อัญมณี ฉันทำหลายสิ่งหลายอย่าง
ถาม: ตกลงท่านแนะนำให้ฉันทำงานอย่างอื่นที่นอกเหนือจากการสอนนั่งสมาธิเพื่อยังชีพใช่ไหม?
ตอบ: ฉันจะแนะนำเช่นนั้น ฉันคิดว่ามันเป็นการสูงส่งกว่าถ้าเราสอนวิถีทางแห่งพระเจ้าโดยไม่คิดเงิน เพราะมันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติในตัวเราแต่ละคน ถ้าเราสามารถทำได้เราไม่ควรหาเงินจากสิ่งนั้น แต่ถ้าเธอมีความจำเป็นในเรื่องเงินทองแล้วคนบริจาคให้เธอก็นับว่าโอเค รับมันในฐานะที่เป็นของขวัญจากพระเจ้า แต่ตัวฉันเองไม่ได้เรียกร้องเงินทองใดๆ ฉันกลัวมากที่จะรับเงินจากคน ฉันเพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้ว และไม่ว่าอาจารย์ท่านใดๆนับตั้งแต่โบราณกาลก็ไม่ได้รับอนุญาตให้รับเงินทอง เธอควรที่จะให้ ไม่ใช่รับ แต่ฉันเดาเอาว่าสำหรับครูธรรมดาๆ ที่สอนวิธีการนั่งสมาธิที่แตกต่างออกไปคงจะไม่มีอันตรายอะไร แต่การเป็นอาจารย์ฉันคิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่รับอะไร พระพุทธเจ้ารับอาหารวันละมื้อเท่านั้นเพราะพระองค์ไม่ได้ทำงาน นั่นคือน้อยที่สุดที่พระองค์สามารถรับได้ แต่พระองค์ก็จำเป็นที่จะต้องทำ ในเวลานั้นพระองค์ไม่มีหนทางที่จะเดินไปทั่วและหาเงินในเวลาเดียวกัน นอกจากนั้นพระองค์ก็เป็นนักบวช และธรรมเนียมของนักบวชก็คือการบิณฑบาตอาหาร ผู้คนจะเคารพเธอในลักษณะนั้น
ในสมัยใหม่ถ้าหากเธอไปขออาหารตำรวจก็จะขอร้องให้เธอไปเข้าคุก ดังนั้นฉันจึงทำเช่นนั้นไม่ได้ ไม่ใช่ว่าฉันนิยมวัตถุ การออกแบบเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไม่ใช่เป็นมุมมองทางด้านวัตถุนิยม มันเหมาะสมในทางปฏิบัติ เรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยใหม่เราจะต้องแต่งตัวงดงามพอที่จะรับแขกได้ เพราะคนสมัยใหม่ไม่ยอมรับภาพพจน์ที่เป็นขอทานอีกต่อไป เธอจะไปขอทานตามท้องถนนไม่ได้ คนจะคิดเอาว่าเธอเป็นคนไร้บ้าน ข้อแรกพวกเขาจะไม่นับถือเธอ แล้วอย่างนี้เธอจะไปสอนพวกเขาได้อย่างไรกัน? เธอจะต้องดูงดงามเหมือนคนอื่นๆ ฉันเคยเป็นนักบวช แต่ในตอนนั้นฉันก็หาเงินด้วยเหมือนกัน ฉันรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องที่จะรับเงินจากคน ฉันหาเงินจากหลายสิ่งหลายอย่าง ฉันปลูกผัก ฉันถักไหมพรมในตอนนั้น เพราะฉันอยู่ตัวคนเดียวฉันจึงไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากมายนัก และฉันก็กินอาหารวันละมื้อด้วย เพราะฉะนั้นการหาเงินได้เล็กน้อยจึงพอเพียง
แต่ตอนนี้ฉันได้ขยายกว้างออกไป และฉันต้องเดินทางมาก ดังนั้นฉันจึงต้องหาเงินมากขึ้น ฉันคิดหาเทคนิคที่แตกต่างออกไปหลายชนิด อย่างการออกแบบภายใน เช่น โคมไฟแสงสว่าง บางครั้งก็เป็นเครื่องเซรามิค ภาพเขียน การออกแบบเสื้อผ้าและการออกแบบอัญมณี สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันหาเงินได้ มากทั่วโลก ดังนั้นฉันจึงสามารถเดินทางไปทั่วและมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ฉันจ่ายให้กับทุกสตางค์ที่ฉันรับมา แม้กระทั่งถ้าผู้ประทับจิตให้ฉันยืมรถ ฉันก็จะจ่ายค่าน้ำมันด้วย ฉันไม่รับมัน ฉันไม่ต้องการทำเช่นนั้น ฉันรู้สึกว่าฉันควรจ่ายค่าใช้จ่ายของฉัน เพราะฉันสามารถทำได้ แม้กระทั่งถ้าลูกศิษย์ของฉันให้อะไรฉันบางอย่างฉันก็จะไม่รับ เว้นเสียแต่ว่าฉันไม่รู้จริงๆ ถ้าฉันรู้ฉันก็จะไม่รับ ฉันจะคืนมันไปฉันจะให้กลับเป็นเงินหรือคืนเป็นสิ่งอื่น แบบนั้นเธอจะรู้สึกสบายใจกว่า แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าคนมอบให้เธอ และเธอไม่มีหนทางอื่น และเธอมีงานยุ่งเกินไปในการสอนเพื่อหาเลี้ยงชีพ ถ้างั้นเธอก็รับมันไว้ รับพอเพียงสำหรับตัวเธอ
ถาม: ตกลงท่านก็สามารถทำธุรกิจ และสอนทางด้านจิตวิญ ญาณในขณะเดียวกันใช่ไหม?
ตอบ: ใช่ ตอนนี้มันก็เป็นแบบนั้น ฉันสอนทางด้านจิตวิญ ญาณ แต่ในเวลาว่างฉันก็ออกแบบเสื้อผ้าและอัญมณี คนที่ช่วยฉันจำหน่าย คนที่ช่วยฉันตัดเย็บเสื้อผ้าและอะไรแบบนั้น พวกเขาก็ได้รับเงินด้วยเหมือนกัน บางครั้งเราก็มีภัตตาคารเล็กๆที่ตรงนี้และตรงนั้น เราก็ได้เงินมาจากแหล่งนั้นด้วยเช่นกัน ฉันจ่ายเงินให้กับคนที่ทำงานอยู่ในภัตตาคาร ทุกอย่างเป็นธุรกิจจริงๆ
ถาม: โอเค ขอบคุณมาก
ตอบ: ขอให้พระเจ้าอวยพร!
ถาม: ถ้าหากไม่มีกายเนื้อ แล้วทำไมพระเยซูจึงร้องไห้เมื่อจอห์น เดอะแบ๊บทิสท์ เพื่อนที่ดีที่สุดของพระเยซูถูกตัดศีรษะ?
ตอบ: อ้อ พระองค์ควรจะหัวเราะหรือ? อาจารย์ผู้มีเมตตา ผู้เปี่ยมไปด้วยความรัก ผู้เป็นเหมือนพระเจ้าควรที่จะหัวเราะหรือเป็นเหมือนก้อนหิน ไม่มีความรู้สึกต่อเพื่อนที่ดีที่สุด อย่างจอห์น เดอะแบ๊บทิสท์หรือ? เธอคาดหวังว่าพฤติกรรมของพระองค์ควรจะเป็นเช่นไรหรือ? เธอคาดหวังว่าบุคคลผู้รู้แจ้งควรจะเป็นอย่างไรหรือ? เป็นหินหรือ? เพียงเพราะว่าพระองค์ได้รู้แจ้งก็ไม่ได้ทำให้ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายของพระองค์เปลี่ยนแปลงไป น้ำตายังคงไหลออกมาเมื่อถูกอารมณ์กระตุ้นและมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น พระองค์มีความอ่อนโยน มีความเป็นเหมือนสตรี มีความรัก และนั่นก็คือสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งหมด มันได้เกิดขึ้นกับพระองค์ มันได้เกิดขึ้นกับเรา เป็นการดีมากเมื่อเธอร้องไห้เมื่อเพื่อนของเธอตาย มันเป็นธรรมชาติมาก พระองค์เป็นคนที่ปกติมากและรู้แจ้งมาก
ถาม: ดูเหมือนว่าหนทางทั้งหมดของฉันกำลังถูกขวางกั้นไว้ ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของฉันได้ ประ สบการณ์ในอดีตของฉันได้เผยให้เห็นว่า ทุกครั้งที่ฉันก้าวหนึ่งก้าวไปยังเป้าหมายของฉัน ก็จะมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงฉันให้ถอยหลังและห่างออกมา ฉันควรจะทำอย่างไรเพื่อทำให้หนทางของฉันราบรื่น?
ตอบ: เขากำลังพูดถึงหนทางอะไรของฉัน? เพื่อประโยชน์ของคนนั้นคือใคร? (พิธีกร: คนที่ถาม ขอให้คุณยกมือได้ไหม?)
ถาม: (มีคนยกมือ) ฉันไม่ได้เขียนคำถามนี้ แต่มันใช้ได้สำหรับฉัน ฉันคิดว่าเราพบอุปสรรคอยู่เสมอในชีวิตซึ่งน่ากลัดกลุ้มมาก ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป
ตอบ: โอเค ฉันเข้าใจแล้วละ มันหมายถึงในธุรกิจและในความสัมพันธ์ คำตอบเดียวเท่านั้นก็คือการรู้แจ้ง ฉันไม่มีคำตอบอื่นใด การรู้แจ้งจะชี้นำเธอ จะให้คำตอบแก่เธอ จะให้ความแข็งแกร่งเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง หรือเพื่อเอาชนะความยากลำบาก รวมทั้งเพิกเฉยความกังวลที่ไม่จำเป็นในปัญหาต่างๆ กัน เธอจะแก้ปัญหาได้รวดเร็วขึ้น ไม่มีสิ่งอื่นใดสำหรับเราที่จะทำในชีวิตยกเว้นรู้แจ้งก่อน แล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมา ด้วยเหตุนี้ ไบเบิลจึงได้กล่าวไว้ว่า ค้นหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อน นั่นหมายความว่าให้รู้แจ้งแล้วทุกสิ่งอื่นๆ ก็จะมาหาเธอ ใช่ เป็นความจริง ตอนนี้ฉันหาเงินได้มากกว่าตอนที่ฉันยังไม่รู้แจ้ง เมื่อจำเป็น พระเจ้าก็จะแสดงหนทางให้กับเธอ แม้ กระทั่งทางด้านวัตถุ ฉันไม่ได้รู้แจ้งเพื่อที่จะหาเงินเพียงแต่ว่ามันได้เกิดขึ้น เพียงแต่ว่ามันได้เกิดขึ้นที่ทุกสิ่งอื่นๆ ราบรื่นมากโดยที่ไม่ได้ร้องขอ และนั่นเป็นความจริง
ถาม: ฉันจะมีชีวิตที่รู้แจ้งได้อย่างไร?
ตอบ: มีชีวิตอยู่เหมือนอย่างที่เธอเคยมีมาก่อน อาศัยอยู่กับภรรยาของเธอ ลูกของเธอ และสามีของเธอ ทำหน้าที่ของเธอต่อไปและสนุกกับชีวิตของเธอในขณะที่สนุกกับสวรรค์ ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงยกเว้นความรู้ภายใน ความสุข
ถาม: ท่านมีเหตุผลอะไรที่ไม่เชื่อในเรื่องการรักษาผู้อื่น?
ตอบ: เหตุผลที่ฉันไม่เชื่อก็คือพวกเขาควรเรียนรู้ที่จะรักษาตัวของเขาเอง เราไม่ควรจะเล่นบทเป็นพระเจ้า นั่นคือเหตุผล เรายืนระหว่างพระเจ้าและคนป่วยคนนั้น แต่ละคนมีพลังที่จะรักษาตัวของเขาเอง พระองค์ได้ให้ความเจ็บป่วยแก่คนไข้ในลักษณะที่เป็นพระพรที่แฝงมาเพื่อว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า เมื่อบุคคลคนนั้นมีความจริงใจมากพระเจ้าก็จะปรากฏให้เขาเห็น มิฉะนั้นแล้วเราก็มีการรักษาทางร่างกาย และการให้ยาซึ่งควรที่จะใช้เพื่อดูแลสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัตถุและไม่แนะนำให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับร่างกายที่เป็นจิตวิญญาณและพลังรักษาโรคซึ่งอยู่ภายในตัวของคน กรรมนั้นไม่ได้ถูกลบล้างออกไปเพียงแค่การใช้มือแตะ มันจะกลับมาอีกเป็น 10 เท่าในภายหลัง บุคคลนั้นจะทุกข์ทรมานมากกว่าเดิมและจะไม่มีวันได้รู้จักพระเจ้า
ถ้าเธอเพียงแต่เชื่อในคนที่รักษาด้วยพลังจิตและลืมพระเจ้า โดยเฉพาะพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวเธอ เธอก็จะอยู่ในความเดือดร้อนมากกว่าความเจ็บป่วยนั่นคือความเชื่อของฉัน นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้ นั่นคือสิ่งที่ฉันแบ่งปันกับพวกเธอ แต่แน่นอนมันเป็นความเห็นและความรู้ของฉัน ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นของเธอ มันไม่จำเป็นว่าจะต้องได้รับการยอมรับจากเธอ เพียงแต่ว่าเธอมาถามฉันฉันจึงต้องบอกเธอในสิ่งที่ฉันรู้ แต่ฉันไม่ได้ประณามการรักษาหรืออะไรแบบนั้น ถ้าหากเธอต้องการขึ้นไปให้สูงกว่าเธอก็จะต้องหยุดทำในเรื่องนั้น เหมือนอย่างเธอต้องการเรียนเป็นหมอเธอจะต้องเรียนเป็นหมอต่อไป เธอห้ามหยุดกลางคันและกลายเป็นนางพยาบาลและหวังที่จะเป็นหมอใน ขณะเดียว กัน มันเป็นไปไม่ได้ (เสียงปรบมือ)
ถาม: ท่านอาจารย์ ทำไมจึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการชี้นำโดยผ่านการทำสมาธิ?
ตอบ: ไม่มีหนทางอื่นใด การทำสมาธิเป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้น อันที่จริงแล้วมันเป็นการติดต่อภายในกับพลังของพระเจ้า ก็เหมือนกับว่าทำไมจึงต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อเพื่อให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้ก็เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเธอ เราจำเป็นที่จะต้องนั่งสมาธิ เราจะต้องได้รับการอัดประจุพลังโดยพลังของพระเจ้าอีกครั้งเพื่อที่จะเป็นอิสระจากโซ่ตรวนของโลกทางวัตถุ เพื่อที่จะเป็นพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะเป็นนายของตัวเรา
ถาม: ขอบคุณที่ท่านสละเวลาให้กับพวกเรา
ตอบ: ขอบคุณ (เสียงปรบมือ) ขอบคุณมากที่ท่านตั้งใจฟัง ขอบคุณในความสนับสนุน บรรยากาศที่รู้แจ้ง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักของท่านและทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก และฉันจะไปพบเธอในห้องประทับจิต (เสียงปรบมือ) สำหรับผู้ที่ไม่รับการประทับจิตในคืนนี้ หรือจะพิจารณาในภายหลัง ขอให้กลับไปบ้านและสวด สวดอธิษฐานถึงพระเจ้า อย่าลืมนะ ขอให้อธิษฐานตลอดเวลา อธิษฐานไม่ว่าเวลาใดที่เธอสามารถทำได้ อธิษฐานด้วยหัวใจของเธอจนกระ ทั่งถึงวันที่เธอได้รู้แจ้ง ฉันจะพบเธอที่นั่น (ท่านอาจารย์ชี้ขึ้นไปข้างบน) (เสียงปรบมือ)