ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai
ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, บอสตัน, สหรัฐอเมริกา
27 ตุลาคม 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
พี่น้องของฉันทั้งหลาย ฉันรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติมากที่ได้มาพบกับพวกคุณในคืนนี้ ที่มหาวิทยาลัยอันเก่าแก่ มีชื่อเสียงและเป็นที่ยกย่องของอเมริกาและของโลกแห่งนี้ ฉันเคยได้ยินชื่อของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและรู้สึกชื่นชมมานานแล้ว ฉะนั้น ฉันจึงรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติมากที่ได้มาอยู่ที่นี่ในคืนนี้ ทั้งหมดนี้เนื่องมาจากความกรุณาและใจกว้างของผู้บริหารของมหาวิทยาลัย และยังเนื่องมาจากความช่วยเหลือของคุณทาวันตี้กับคนอื่นๆ อีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลัง ก่อนที่ฉันจะมาที่นี่นั้น ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อย แต่พอฉันได้เห็นพวกคุณ ฉันก็รู้สึกมีความสุข รู้สึกสบายใจขึ้นมาอีก ฉะนั้น ฉันจึงหวังว่า การพบกันในครั้งนี้ ซึ่งเริ่มต้นอย่างดีมากนั้น จะจบลงอย่างดีเยี่ยมด้วย และหวังว่าฉันจะได้บริการรับใช้อะไรบางอย่างแก่พวกคุณ ภายในเวลาสองหรือสามชั่วโมงของการบรรยายนี้ และหวังว่าคงจะทำความพอใจแก่ความปรารถนาใฝ่หาที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดในใจของคุณ ที่จะได้พบพระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะหรือเต๋า หรือว่าทำให้พวกคุณระลึกขึ้นมาได้บ้างนิดหน่อยว่า คุณเป็นใครและคุณมาจากไหน
เอาล่ะ ที่นี่ ที่แผนกนี้ของมหาวิทยาลัยคือแผนกกฎหมาย คนที่เรียนกฎหมายของประเทศนี้หรือประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะศึกษากฎหมายอเมริกันใช่ไหม? กฎหมายของประเทศอเมริกาน่ะ ใช่ไหม? (ผู้ฟัง : ใช่) ฉะนั้นทุกๆ ประเทศก็จะมีกฎหมายที่แตกต่างกันไป แต่หลักใหญ่ๆ ก็คือ เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิต่างๆ ของคน ปกป้องความมีระเบียบของสังคม และให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสอดคล้องปรองดองกัน นั่นก็คือวัตถุประสงค์ของกฎหมายของทุกชาติ ทีนี้กฎหมายของทุกชาติก็แน่นอนที่จะต้องขึ้นอยู่กับลักษณะ, ขนบธรรมเนียมประเพณี และความประสงค์ของประชากรส่วนใหญ่ในประเทศนั้นๆ พวกเขาอาจจะเห็นพ้องต้องกันที่จะนำกฎหมายเรื่องนี้ หรือกฎหมายเรื่องนั้นมาปฏิบัติ เพื่อที่จะปกป้องคุ้มครองชีวิตของประชาชนส่วนรวม เอาล่ะ เวลาที่เรามองดูด้วยจุดยืนของมนุษย์ของเรา กฎหมายต่างๆ เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่พอเรามองลงมาจากด้านที่อยู่เหนือจากโลกนี้ขึ้นไป ซึ่งอยู่เหนือจากความสามารถของมนุษย์ บางครั้งเราก็จะเห็นว่า แม้ว่ากฎหมายจะถูกสร้างขึ้นโดยคนเรา แต่ว่ามันก็ถูกควบคุมโดยแรงพลังที่มองไม่เห็นบางอย่างอย่างอื่นด้วย - แรงพลังที่มองไม่เห็นนี้ทางภาษาสันสกฤตเราเรียกว่า “กรรม” กรรมเป็นคำสันสกฤตสำหรับกฎแห่งเหตุและผลของการกระทำ เหมือนที่เราพูดกันในคัมภีร์ไบเบิล ในคำทางคริสต์ว่า “หว่านพืชอะไร ก็ได้ผลอย่างนั้น” เพราะฉะนั้นเวลาชาวคริสต์บางคนมาไต่ถามฉันว่ามีเพียงแต่ชาวพุทธเท่านั้นที่เชื่อในเรื่องกรรม ฉันก็จะยิ้มและก็บอกพวกเขาว่า ในไบเบิลและชาวคริสต์ก็เชื่อเรื่องกรรมด้วย
ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, บอสตัน, สหรัฐอเมริกา
27 ตุลาคม 1989 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ)
พี่น้องของฉันทั้งหลาย ฉันรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติมากที่ได้มาพบกับพวกคุณในคืนนี้ ที่มหาวิทยาลัยอันเก่าแก่ มีชื่อเสียงและเป็นที่ยกย่องของอเมริกาและของโลกแห่งนี้ ฉันเคยได้ยินชื่อของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและรู้สึกชื่นชมมานานแล้ว ฉะนั้น ฉันจึงรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติมากที่ได้มาอยู่ที่นี่ในคืนนี้ ทั้งหมดนี้เนื่องมาจากความกรุณาและใจกว้างของผู้บริหารของมหาวิทยาลัย และยังเนื่องมาจากความช่วยเหลือของคุณทาวันตี้กับคนอื่นๆ อีกหลายคนที่อยู่เบื้องหลัง ก่อนที่ฉันจะมาที่นี่นั้น ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อย แต่พอฉันได้เห็นพวกคุณ ฉันก็รู้สึกมีความสุข รู้สึกสบายใจขึ้นมาอีก ฉะนั้น ฉันจึงหวังว่า การพบกันในครั้งนี้ ซึ่งเริ่มต้นอย่างดีมากนั้น จะจบลงอย่างดีเยี่ยมด้วย และหวังว่าฉันจะได้บริการรับใช้อะไรบางอย่างแก่พวกคุณ ภายในเวลาสองหรือสามชั่วโมงของการบรรยายนี้ และหวังว่าคงจะทำความพอใจแก่ความปรารถนาใฝ่หาที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดในใจของคุณ ที่จะได้พบพระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะหรือเต๋า หรือว่าทำให้พวกคุณระลึกขึ้นมาได้บ้างนิดหน่อยว่า คุณเป็นใครและคุณมาจากไหน
เอาล่ะ ที่นี่ ที่แผนกนี้ของมหาวิทยาลัยคือแผนกกฎหมาย คนที่เรียนกฎหมายของประเทศนี้หรือประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่จะศึกษากฎหมายอเมริกันใช่ไหม? กฎหมายของประเทศอเมริกาน่ะ ใช่ไหม? (ผู้ฟัง : ใช่) ฉะนั้นทุกๆ ประเทศก็จะมีกฎหมายที่แตกต่างกันไป แต่หลักใหญ่ๆ ก็คือ เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิต่างๆ ของคน ปกป้องความมีระเบียบของสังคม และให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสอดคล้องปรองดองกัน นั่นก็คือวัตถุประสงค์ของกฎหมายของทุกชาติ ทีนี้กฎหมายของทุกชาติก็แน่นอนที่จะต้องขึ้นอยู่กับลักษณะ, ขนบธรรมเนียมประเพณี และความประสงค์ของประชากรส่วนใหญ่ในประเทศนั้นๆ พวกเขาอาจจะเห็นพ้องต้องกันที่จะนำกฎหมายเรื่องนี้ หรือกฎหมายเรื่องนั้นมาปฏิบัติ เพื่อที่จะปกป้องคุ้มครองชีวิตของประชาชนส่วนรวม เอาล่ะ เวลาที่เรามองดูด้วยจุดยืนของมนุษย์ของเรา กฎหมายต่างๆ เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ แต่พอเรามองลงมาจากด้านที่อยู่เหนือจากโลกนี้ขึ้นไป ซึ่งอยู่เหนือจากความสามารถของมนุษย์ บางครั้งเราก็จะเห็นว่า แม้ว่ากฎหมายจะถูกสร้างขึ้นโดยคนเรา แต่ว่ามันก็ถูกควบคุมโดยแรงพลังที่มองไม่เห็นบางอย่างอย่างอื่นด้วย - แรงพลังที่มองไม่เห็นนี้ทางภาษาสันสกฤตเราเรียกว่า “กรรม” กรรมเป็นคำสันสกฤตสำหรับกฎแห่งเหตุและผลของการกระทำ เหมือนที่เราพูดกันในคัมภีร์ไบเบิล ในคำทางคริสต์ว่า “หว่านพืชอะไร ก็ได้ผลอย่างนั้น” เพราะฉะนั้นเวลาชาวคริสต์บางคนมาไต่ถามฉันว่ามีเพียงแต่ชาวพุทธเท่านั้นที่เชื่อในเรื่องกรรม ฉันก็จะยิ้มและก็บอกพวกเขาว่า ในไบเบิลและชาวคริสต์ก็เชื่อเรื่องกรรมด้วย
จักรวาลถูกปกครองโดยกฎแห่งจักรวาล
ศาสนาที่ดีๆ และใหญ่ๆ ทุกศาสนาต้องสอนผู้คนเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมด้วย มิฉะนั้น ทำไมพวกเขาถึงต้องมาสนใจสอนให้คนทำดีและเป็นคนดีกันล่ะ ถ้าเราไม่มีการชดใช้สำหรับการกระทำนั้นในเวลาต่อมาหรือเมื่อไร หรือในเวลาที่จบชีวิตไปแล้วอะไรเลย? แล้วเราจะต้องสนใจที่จะเป็นคนดี ทำดีไปทำไม? เพราะว่าถ้าพวกคุณเลว หรือทำตัวซุกซนไม่ดี อะไรบางอย่าง ทำบาปไว้มาก คุณก็จะมีแค่ชีวิตนี้ชีวิตเดียวนี่ เพราะฉะนั้นกฎแห่งกรรมและสิ่งที่ตามมาด้วยก็คือกฎของการเวียนว่ายตายเกิด จึงเป็นสิ่งที่เป็นปกติธรรมดามาก และทุกๆ ศาสนาก็จะสอนถึงเรื่องกฎแบบนี้ไม่ว่าจะอย่างเปิดเผยหรืออย่างลับๆ ฉันหมายถึงว่า สอนอย่างที่ไม่ได้พูดแบบเป็นนัยๆ มันก็เหมือนกับที่เรามีกฎหมายในทุกๆ ชาติ เพื่อที่จะปกป้องความเป็นระเบียบของสังคม กฎของจักรวาลก็มีอยู่เพื่อปกป้องความเป็นระเบียบและความอยู่ดีมีสุขของสรรพสัตว์ทั้งมวลในจักรวาล
ถ้าเราอาศัยอยู่ในประเทศหนึ่ง เราก็ต้องรู้กฎหมายของประเทศนั้นบ้างนิดหน่อยเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสอดคล้องปรองดองกัน และก็ไม่ทำอะไรที่เป็นภัยแก่ตัวเองด้วยการทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดี หรือละเมิดกฎหมาย ทีนี้พอเรามาคิดดูดีๆ เราไม่ได้อาศัยอยู่ในชาติหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่าเรายังกำยังอาศัยอยู่ในจักรวาลด้วย และทุกๆ ชาติก็เป็นเหมือนกับห้องๆ หนึ่งในบ้านหลังใหญ่ ฉะนั้น มันจึงเป็นหน้าที่ของเราเช่นกันที่จะต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องกฎของจักรวาลบ้างเล็กน้อย หลังจากที่เราได้ศึกษากฎของชาติต่างๆ มาแล้ว เราอาจจะสังเกตเห็นว่า บางครั้งกฎหมายอย่างหนึ่งในประเทศนี้ ไม่สามารถจะเอาไปใช้ในประเทศอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศของเราเช่นในประเทศเอาแลค หรืออาจจะประเทศอเมริกาก็ได้ คุณสามารถจะมีภรรยาหรือสามีได้เพียงคนเดียว นั่นเป็นกฎหมาย เป็นแบบนี้ในอเมริกาด้วยหรือเปล่า (ผู้ฟัง : เป็น) ทีนี้ ถ้าคุณเกิดมีภรรยาหรือสามีเป็นคนที่สองหรือสามล่ะก็ ภรรยาหรือสามีของคุณก็สามารถจะฟ้องต่อศาลและทำให้เกิดความลำบากกับคุณได้
ในประเทศทิเบต มันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเลย ปัจจุบันผู้หญิงคนหนึ่งสามารถจะมีหลายสามีได้หลายคน ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถจะแต่งงานกับพี่ชายน้องชายทุกคนในครอบเดียวกันนั้นได้ เปล่านะฉันไม่ได้พูดเล่นนะ คุณอาจจะไปหาอ่านเอาเองก็ได้ รู้ไหมถ้าคุณอ่านหนังสือที่เขียนโดยสวามี วิเวก อานันดา พวกคุณเคยอ่านบ้างไหม? เคยอ่านบางเล่มไหม ไม่เคยหรือ? เขาเล่าประสบการณ์ของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ เขากล่าวว่า พอเขารู้สึกตกใจและเอ่ยปากถามชายคนหนึ่งว่าทำไมพวกเขาถึงทำแบบนี้ ทำไมพวกเขาถึงแต่งงานกับผู้หญิงคนเดียว ในระหว่างพี่ชายน้องชายของเขาห้าหรือหกคนนั้น ชายคนนั้นก็ตอบว่า “ในทิเบตนี้ จะถือว่าเป็นการเห็นแก่ตัว ถ้าคนไม่แบ่งปันของดีๆ ทุกอย่างไม่ว่าอะไรกับพี่น้อง” เพราะฉะนั้นเขาก็เลยเฝ้าแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับความเกี่ยวเนื่องกันของกฎหมายกับความถูกต้องต่อศีลธรรมในบางครั้ง
ในทุกประเทศในตอนนี้ เราก็ต้องใช้ชีวิตให้ถูกกฎหมายของประเทศนั้นๆ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาไม่ทำให้ตัวเราเองหรือผู้อื่นต้องช้ำใจ เพราะฉะนั้นเราจะพูดไม่ได้ว่า “อ้าว ก็ชาวทิเบต เขาทำกันอย่างนั้น พวกเราชาวอเมริกันก็เลยทำตามน่ะซี” เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าพวกเราคนอเมริกันก็คือคนอเมริกัน เรามีอารมณ์ความรู้สึกของเราเอง มีภูมิหลังพื้นเพของประเพณีของเราเอง และมีการตัดสินใจในสิ่งที่ผิดที่ชอบของเราเอง เราไม่สามารถจะไปลอกเลียนแบบของใครได้เลย ก็เหมือนกับชาวเอาแลค ชาวจีน หรือประชาชนของประเทศอื่นใดก็ตาม พวกเขาไม่มีทางจะเลียนแบบประเพณีของประเทศอื่นได้ พวกเขาอาจจะเคารพกฎหมายก็จริง แต่ว่ามันก็ยังมีกฎอย่างอื่นที่เรามองไม่เห็น เกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ความรู้สึกและวิถีทางดำรงชีวิตที่พวกเขาไม่มีทางจะเลียนแบบได้
กฎของจักรวาลจะคงอยู่ตลอดไป
ฉะนั้นเราถือว่าเมื่อเราอาศัยอยู่ในชาติใด เราก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของชาตินั้นๆ ดังนั้น ขณะนี้เราอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้ เราก็ต้องปฏิบัติตามกฎของจักรวาลของเราเช่นกัน กฎของจักรวาลนั้นจะปกป้องคุ้มครองไม่ให้เราต้องลดระดับลงไปอยู่ในระดับชั้นที่ต่ำลง ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราอาศัยอยู่ในประเทศหนึ่ง แล้วเราก่ออาชญากรรมอะไรบางอย่าง หรือว่าละเมิดกฎหมายบางอย่าง เราก็ต้องถูกจับเข้าคุก หรืออาจจะต้องเสียค่าปรับ ใช่ไหม? (ผู้ฟัง : ใช่) ทีนี้ถ้าเราอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้ แล้วเราเกิดไปทำความผิดอะไรบางอย่างขึ้นมาซึ่งไม่เหมาะสมกับกฎของจักรวาล เราก็ต้องถูกจับไปอยู่ในสภาวะอื่นใดบางอย่างซึ่งไม่เป็นที่น่ายินดีสำหรับตัวเรา นั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่ากรรม หรือกฎของการชดใช้การกระทำ “หว่านพืชอะไร ก็ได้ผลอย่างนั้น”
ดังนั้น ถ้าเราอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขสอดคล้องกับผู้อื่น และไม่ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่น่ายินดีต่อตัวเราเอง เราก็ควรจะศึกษากฎของจักรวาลบ้าง กฎของจักรวาลไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ และไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงไปได้เหมือนกับกฎหมายของมนุษย์ เวลาเราดูกฎหมายของมนุษย์ เราก็จะเห็นว่ามันผันแปรแตกต่างกันไปจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง และแม้กระทั่งมาตรฐานทางศีลธรรมก็ยังแตกต่างกันจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศได้ แต่ว่า กฎของจักรวาลจะเหมือนเดิมเสมอไป ตัวอย่างเช่น ในคัมภีร์ไบเบิลมีกล่าวไว้ว่า “เธอต้องไม่ฆ่า เธอต้องไม่ทำผิดประเวณี เธอต้องไม่ลักขโมย เธอต้องรักเพื่อนบ้าน รักศัตรูของเธอ ฯลฯ...” กฎเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป
ถ้าหากว่าเราอยากจะรู้จักพระเจ้าหรือที่เราเรียกว่าธรรมชาติพุทธะ พระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะสำหรับตัวฉันแล้ว ก็คือสิ่งเดียวกันนั่นเอง ฉันได้รู้จักและมีประสบการณ์ในสิ่งนี้มาแล้ว คุณอาจจะเรียกมันว่า พระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะก็ได้ ทีนี้ถ้าคุณอยากจะประสบพบกับธรรมชาติพระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะ หรือที่เราเรียกว่าโฉมหน้าที่แท้จริงแล้วล่ะก็ คุณก็จะต้องปฏิบัติตามกฎนี้ และการปฏิบัติตามกฎนี้ก็ยังไม่ใช่แต่เพียงสิ่งเดียวที่เราจะต้องทำเท่านั้น แต่ว่า มันเป็นเงื่อนไขอันดับแรกหากเราต้องการจะรู้จักพระเจ้า หรืออยากจะรู้จักธรรมชาติพุทธะ เพราะฉะนั้นในไบเบิล จึงกล่าวว่า “แท้จริงแล้วฉันขอบอกพวกเธอว่า เว้นเสียแต่ว่าเธอจะเกิดใหม่อีก, เว้นเสียแต่ว่าเธอจะกลายเป็นเด็กอีกเท่านั้น นอกนั้นเธอไม่มีทางจะเข้าไปยังอาณาจักรของพระเจ้าได้” ในลัทธิเต๋าและท่านเล่าจื๊อ ก็กล่าวไว้เช่นกันว่า เราต้องกลับมาบริสุทธิ์เหมือนเด็กใหม่อีก
และในพุทธศาสนาก็เช่นกัน สังฆปรินายกผู้ยิ่งใหญ่ของเราท่านหนึ่งคือ ฮุ่ยเหนิง ซึ่งเป็นสังฆปรินายกองค์ที่หกของพระพุทธศาสนานิกายเซ็นในประเทศจีน แต่จริงๆ แล้ว ตามประวัติ-ศาสตร์ดั้งเดิมนั้นท่านเกิดในเอาแลค ตอนนี้ฉันจะไม่โต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก เพราะว่าชาวจีนต้องการจะอ้างว่าท่านเป็นชาวจีน เพราะฉะนั้นเราก็จะยกท่านให้แก่พวกเขาเช่นกัน ไม่เป็นไรหรอก ท่านเป็นของจักรวาลอยู่ดี แต่ฉันพูดเพียงเพื่อเป็นข้อมูลให้ทราบเท่านั้น เพราะว่าฉันต้องพูดความจริง ต้องการพูดความจริงเสมอ ถ้าพวกคุณอยากจะรู้ให้มากขึ้นว่าท่านเป็นใคร ก็มาคุยกับฉันทีหลังก็ได้ เราไม่ต้องการจะมาโต้เถียงกันเรื่องสถานที่เกิดของท่าน หรือสิทธิแต่กำเนิดของท่าน ฉันเพียงแต่พูดถึงนิดหน่อยเท่านั้นเอง เอาล่ะท่านฮุ่ยเหนิงพูดไว้ว่าอย่างนี้ “เวลาที่ฉันทำสมาธิ ฉันเพียงแต่ตรวจดูความผิดของฉันเองเท่านั้น ฉันไม่ตรวจดูความผิดของผู้อื่น” นั้นหมายความว่า คุณบริสุทธิ์แล้ว คุณไม่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น คุณเป็นเหมือนกับเด็กคนหนึ่งเท่านั้น คำกล่าวเหล่านี้ไม่เหมือนกันหรือ? เหมือนกันใช่ไหม? (ผู้ฟัง : ใช่), มันเหมือนกัน
คุณคิดถูกแล้ว เพราะว่าใครก็ตามที่รู้แจ้งแล้ว และได้มองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของความเป็นพระเจ้า หรือความเป็นพุทธะสักแวบหนึ่งหรือหลายแวบ จะต้องพูดและมีความเห็นแบบเดียวกันนี้ พวกเขาไม่มีทางจะพูดอย่างอื่นได้แน่ พูดได้เพียงความจริงเท่านั้น ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจากความจริง ความจริงอาจจะฟังดูแปลกๆ หรืออาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับหลายๆ คน แต่จะอย่างไรก็ตาม มันจะเป็นที่คุ้นเคยมากสำหรับผู้ที่มีปัญญา และผู้ที่กำลังรู้สึกคุ้นเคยกับความจริงแล้ว เราอาจจะพูดกับตัวเองว่า “ฉันไม่เคยศึกษาเรียนรู้อะไรมาก่อนเลย” “ฉันไม่เคยไปโบสถ์เลย” “ฉันไม่เคยไปวัดทางพุทธเลย” “ฉันไม่เคยอ่านพระสูตรเล่มไหนเลยด้วยซ้ำ” แต่ว่า นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณไม่รู้จักสัจธรรมความจริง คุณอาจจะเคยรู้จักมันมาก่อนแล้ว หรืออาจจะเคยรู้จักสัจธรรมความจริงมาแล้วในชาติก่อน ตอนนี้ มันก็จะต้องการน้ำอีกเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ให้เมล็ดพันธุ์นั้นได้งอกงามออกมาอีก
ใช้ประโยชน์จากพลังสมองเพื่อพัฒนาพลังที่อยู่ภายในตัวของเราอย่างเต็มที่
ฉันเพิ่งจะพูดถึงอาจารย์ฮุ่ยเหนิง ท่านไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ว่าท่านมีชื่อเสียงมานานหลายศตวรรษแล้ว และตอนนี้ก็ยังมีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีก นับตั้งแต่พุทธศาสนานิกายเซ็น หรือนิกายฌาณ หรือพุธศาสนาในจีน ได้เริ่มแพร่ไปยังประเทศทางตะวันตก เพราะว่าธรรมชาติพระเจ้าหรืออาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวของเรา หรือธรรมชาติพุทธะอยู่ภายในตัวเราตั้งแต่เกิด นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า “ปัญญา” สำหรับในคำทางวิทยาศาสตร์ หรือสิ่งที่เราอธิบายว่า เป็นความสามารถ 95 เปอร์เซ็นต์ที่เรายังไม่ได้ใช้เลย เข้าใจเรื่องนี้ไหม? เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า เราใช้ปัญญาของเรา ใช้ความสามารถทางสมองของเราเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผู้ที่สามารถใช้ปัญญาหรือสติปัญญาทางสมองของเขาได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็คือพระพุทธเจ้า ก็คือพระคริสต์เจ้า ก็คือท่านเล่าจื๊อ คือท่านกฤษณะ หรือพระโมฮัมหมัด หรือผู้ใดก็ตามที่คุณเชื่อว่ามีพลังสมองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของเรา พวกท่านเหล่านี้คือผู้ที่รู้ความลับของทางที่จะเข้าไปสู่อาณาจักรของสติปัญญาของเราโดยตลอด นั้นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าอาณาจักรของพระเจ้า
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในตัวของเราเอง นิพพานก็เช่นเดียวกัน พุทธะทั้งหลาย, พระคริสต์ ล้วนเกิดมาจากอาณาจักรของพระเจ้านี้ ไม่มีใครเกิดมาโดยปราศจากอาณาจักรของพระเจ้านี้ หรือปราศจากธรรมชาติพุทธะนี้ ก็เหมือนกับคลื่นเกิดมาจากมหาสมุทร ทีนี้มันจะมีวิธีใดไหมที่จะสามารถควบคุมสติปัญญาของเรานี้ได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์? มีสิ มันมีวิธี มีหลายวิธี มีวิธีที่สั้นๆ วิธีที่ยาวๆ วิธีใหญ่ วิธีเล็ก วิธีที่ง่ายๆ และวิธีที่ยากๆ บางคนก็ใช้วิธีสวดอ้อนวอน วิธีอดอาหาร วิธีใช้ระเบียบวินัยจัดเคร่งครัด หรือพยายามจะทำด้วยตำราของปัญญาแต่โบราณกาล ว่าคนยอมพลียอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไร เพื่อจะได้พบพระเจ้า ได้พบธรรมชาติพุทธะ แต่ว่าสำหรับปัจจุบันนี้ ถ้าเรายังยึดถือปฏิบัติตามหนทางที่มีวินัยจัดเคร่งครัดมากเหล่านั้น มันก็ยากเกินไป ใช้เวลามากไป เราไม่สามารถแค่เข้าไปอยู่ในป่า แล้วก็ละทิ้งสังคมไว้เบื้องหลังได้
ในสมัยโบราณ คนมีความปรารถนาอยากได้อะไรน้อยกว่านี้ และมีความสะดวกสบายในชีวิตน้อยกว่าเดี๋ยวนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากได้ แต่ก็ไม่มีทางจะได้ ปัจจุบันนี้ เรามีสิ่งที่ยั่วยวนหลอกล่อมากขึ้นเนื่องจากมีความสะดวกสบายมากขึ้น บางครั้งเราไม่อยากได้สิ่งนี้หรือสิ่งนั้น แต่ว่าเพื่อนบ้านของเรามีสิ่งนั้น แล้วภรรยาของเราก็ไม่ยอมให้เราได้พักผ่อนอยู่เฉยๆ จนกว่าหล่อนจะได้ของอย่างนั้นเหมือนกัน หรือในทางกลับกัน ก็อาจจะเป็นตัวสามีที่อยากได้ ในสมัยก่อน คนจะพอใจแล้วถ้าพวกเขามีเสื้อผ้าแค่สองสามชุด และมีอะไรกินนิดๆ หน่อยๆ ยังไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีการติดต่อสื่อสาร ไม่มีทีวี หรืออะไรแบบนั้น ดังนั้น คนจึงไม่ถูกยั่วยวนใจให้อยากได้อะไรมากขึ้น เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมีเวลามากกว่า ที่จะใช้ทำงานอดิเรกอย่างเช่นการค้นหาพระเจ้า
ค้นหาพระเจ้าเป็นงานอดิเรกที่น่าเพลิดเพลินที่สุด
จะอย่างไรก็ตาม การค้นหาพระเจ้าก็เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งเช่นกัน สำหรับตัวฉันแล้วมันเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง เป็นงานอดิเรกที่น่าเพลิดเพลินมาก ปัจจุบันนี้คนมีงานอดิเรกกันหลายอย่างต่างๆ นาๆ แต่ว่างานอดิเรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขากลับลืมไป นั่นก็คือการที่จะค้นหาพระเจ้า ค้นหาธรรมชาติพุทธะภายในได้อย่างไร ฉันขอบอกพวกคุณว่า การค้นหาพระเจ้าไม่ได้เป็นเรื่องยากเท่ากับการหาเงินเลย ตอนที่ฉันกำลังทำงานหาเงินนั้น มันยากเย็นมาก ฉันต้องทำงานหนักวันละ 8-10 ชั่วโมง แล้วถึงอย่างนั้นมันก็ยังถูกใช้จ่ายหมดไปได้รวดเร็วมาก ถ้าหากว่าเราไม่ระมัดระวัง และแม้กระทั่งว่าเราระมัดระวังแล้ว เราก็ยังแค่พอชักหน้าถึงหลังได้บ้าง และก็มีเงินเหลือเก็บนิดหน่อย สำหรับตอนอายุมากเท่านั้น ไม่มีอะไรเหลือมาก แต่ถ้าเราค้นพบอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว มันจะอยู่คงทนไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาความฉลาด ความสุข ความยินดี ที่เราพบ มันจะเป็นของเราอยู่เสมอ ไม่มีวันถูกใช้จ่ายหมดไป ไม่มีใครจะมาขโมยมันไปจากเราได้เลย และถึงอย่างนั้น สิ่งที่เป็นกำไรทางวัตถุของเราก็จะตามมาด้วยเช่นกัน ดังนั้น ในไบเบิลจึงกล่าวไว้ว่า “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอื่นใด และสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาเอง”
คนในสมัยโบราณจึงรู้ว่าความสุขที่ยั่งยืนอยู่ที่ไหน พวกเขาถึงได้บำเพ็ญปฏิบัติวิถีทางแห่งชีวิต, เต๋า บำเพ็ญวิถีทางของชาวพุทธหรือวิถีทางของชาวคริสต์ พวกคุณเข้าใจนะว่า ฉันเกิดมามีชีวิตเป็นทั้งชาวคาทอลิกและชาวพุทธ ดังนั้นฉันก็ต้องพูดเพื่อทั้งคู่ หวังว่าพวกคุณคงไม่ว่าอะไร และเนื่องจาก ดร.ทาวันตี้ ก็ได้กล่าวไปแล้วว่า เรา, ชาวเอาแลคมีประเพณีของความมีจิตใจที่เปิดกว้าง มีอิสรภาพในการคิด มีอิสรภาพในการนับถือ เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องทำตามประเพณีของเราต่อไป ยึดมั่นถือตามประเพณีเอาแลคของเรา ในประเทศเอาแลค สามีที่เป็นคาทอลิกกับภรรยาที่เป็นพุทธจะจูงมือกันไปโบสถ์ในตอนเช้า และไปวัดในตอนบ่าย คนของเราส่วนมากจะไม่มีจิตใจที่แบ่งแยก หรือถกเถียงกันใหญ่โตว่าใครเป็นผู้ที่ดีที่สุด หรือว่าศาสนาใดสูงที่สุด ถ้าเธอมีความสุขกับศาสนาของเธอ ก็ดีแล้ว! ฉันก็มีความสุขกับศาสนาของฉัน เราอาจจะเรียนรู้สิ่งที่ดีๆ บางอย่างจากกันและกันได้
อย่างไรก็ตาม เราเป็นใครกันที่จะไปตัดสินพระพุทธเจ้า? เราเป็นใครที่จะไปตัดสินพระเยซูคริสต์? เรายังไปไม่ถึงระดับนั้นเลย เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกท่านยิ่งใหญ่ขนาดไหน ว่าพวกท่านได้ทำอะไรลงไป เราสามารถจะตัดสินใจได้จากกฎที่ดีๆ ทั้งหลายที่พวกท่านได้ทิ้งไว้ให้เรา จากคำสั่งสอนที่ดีๆ จากตัวอย่างที่เด่นๆ ของการเสียสละและความรักของท่าน เราจึงรู้ว่าพระเยซูก็ใช้ได้ เราจึงรู้ว่าพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ เราไม่มีทางจะไปวิพากษ์วิจารณ์พวกท่าน ไม่ว่าจะในเรื่องใดๆ ก็ตาม สำหรับสิ่งต่างๆที่ท่านได้ทำไว้แก่มนุษยชาตินั้น ท่านทั้งสองไม่ควรจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์เลย ผู้ใดที่นับถือพระคริสต์ก็ควรจะเป็นชาวคริสต์ที่ดี ใครนับถือพระพุทธเจ้าก็ควรจะเป็นชาวพุทธที่ดีที่สุด หน้าที่ของเราก็มีแค่นี้เอง ไม่ควรจะวิพากษ์วิจารณ์ หรือว่าไม่ควรจะเปรียบเทียบอะไรทั้งสิ้น
รู้แจ้งเถิดแล้วจะได้เห็นพระเจ้าทันที
เพราะฉะนั้นในการพูดทุกครั้ง ฉันจะไม่เน้นให้คนมาทำตามฉัน ที่จะมาโกนผมแล้วก็มาเป็นชีหรือว่าเป็นชาวพุทธด้วย ถ้าคุณเป็นชาวคริสต์ คุณก็เป็นไปเหมือนเดิม ถ้าคุณนับถือศาสนาใดก็เป็นไปตามเดิม และถึงแม้ว่าคุณจะไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ฉันก็พยายามจะไม่ทำให้คุณเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่ ฉันจะเพียงแต่อยากแสดงให้คุณเห็นว่ามีพระเจ้าอยู่ หรือมีธรรมชาติพุทธะอยู่ แล้วตอนนั้นคุณก็จะเชื่อเอง เพราะว่าถ้าเราไม่เห็นพระเจ้า ถ้าเราไม่เห็นธรรมชาติพุทธะภายในตัวเรา มันก็ยากมากที่จะเชื่อ ไม่ใช่หรือ? เพราะฉะนั้น เราจะไปตำหนิคนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าไม่ได้ที่เขาไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะได้รับพรที่ว่า ไม่เห็นแต่ก็เชื่อ ดังนั้นสำหรับบางคนที่ไม่เชื่อเพราะว่าไม่ได้เห็น เราก็ขอมอบโอกาสที่จะได้เห็นพระเจ้า หรือได้เห็นธรรมชาติพุทธะ นั่นก็คือ ที่เราเรียกว่า การรู้แจ้งในทันที
เมื่อคุณรู้จักธรรมชาติของตนเองและรู้จักอาณาจักรของพระเจ้าภายในแล้ว นั่นแหละเราจึงอาจจะเชื่อ เพราะว่าเวลาที่เรารู้แจ้ง ไม่ว่าเราจะเป็นชาวคริสต์หรือชาวพุทธหรือเต๋า เราก็จะพบกับสิ่งเดียวกัน เราจะพบกับปัญญาเดียวกัน อาณาจักรเดียวกัน นิพพานเดียวกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ฉันเคยไปที่นั่นมาแล้ว และก็ไม่พบว่ามีอะไรที่แตกต่างกันเลย มันเป็นสถานที่แห่งเดียวกัน จริงๆ แล้วการพูดว่า “สถานที่” ก็เป็นเพียงวิธีพูดออกมาเท่านั้นเอง แต่ว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นสถานที่หรอกเวลาที่คุณรู้แจ้ง มันเป็นสภาวะหนึ่งของจิตใจ เป็นระดับของจิตสำนึก ของการคิด ของการรู้ ของการได้เข้าใจในระดับที่สูงขึ้น นั่นก็เรียกว่าอาณาจักรของพระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะเช่นกัน ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องบินไปยังสถานที่สวยงามทุกๆ วัน ไม่จำเป็นเลย
การรู้แจ้งแสดงออกมาให้เห็นเองได้หลายวิธี คุณอาจจะเห็นสถานที่ที่สวยงาม เห็นระดับชั้นต่างๆ ของจิตใจ ระดับต่างๆ ของการดำรงอยู่ หรือคุณอาจจะมีปัญญา มีคุณธรรมความดีในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อที่จะบริการตนเอง หรือคนในครอบครัวที่ใกล้ชิด, บริการรับใช้ประเทศชาติของคุณ และทั้งโลก ตอนที่อาจารย์ชาวอินเดียผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งคือ ศรี รามกฤษณะ ยังมีชีวิตอยู่ ฉันคิดว่าพวกคุณคงเคยได้ยินชื่อเขากันแล้วนะ ไม่เคยหรอกหรือ? (ผู้ฟัง : เคย) เราไม่มีทางจะพูดว่าเขาเป็นชาวพุทธได้เลย เพราะฉะนั้นอย่าหาว่าฉันพูดสนับสนุนพุทธศาสนาแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ฉันมีความคิดเกี่ยวกับนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนเท่าเทียมเสมอกันหมด
ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น แน่นอนที่เขาได้เห็นภาพเกี่ยวกับพระเจ้ามากมาย และก็มีสมาธิแบบต่างๆ หลายแบบ ลูกศิษย์ของเขาต่างก็อยากจะมีสมาธิในแบบที่คล้ายๆ กับที่เขามีมาก ฉันคิดว่าพวกคุณคงรู้นะว่า สมาธิคืออะไร ใช่ไหม? ถ้าคุณไม่รู้ ฉันก็จะอธิบายก็แล้วกัน สมาธิหมายถึง เวลาที่คุณอยู่ในจิตสำนึกที่มีระดับสูงขึ้นอย่างหนึ่ง และคุณก็ตัดการติดต่อกับโลกภายนอกไปในตอนนั้น คุณกำลังติดต่ออยู่กับพระเจ้า คุณเห็นแต่เพียงอาณาจักรสวรรค์เท่านั้น ไม่เห็นความทุกข์ยาก ความเจ็บปวด และไม่มีความทุกข์ ความเจ็บปวดของโลกนี้ หรือว่าความไม่สบายกายไม่สบายใจใดๆ เลย คุณกำลังมีความสุขมาก มีปีติสุขมาก นั่นแหละที่เราเรียกว่าสมาธิ แต่ว่าสมาธิก็ยังมีระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นในคืนนี้ ถ้าคุณมีปัญหาอะไร คราวหลังเราจะพูดถึงเรื่องนี้ให้ลึกขึ้นกว่านี้ก็ได้
ความรักเป็นประสบการณ์ที่เหนือกว่าสมาธิ
ทีนี้ลูกศิษย์ของเขาเห็นเขาอยู่ในสมาธิทุกวันหลายครั้งเข้า เห็นเขาอยู่ในสมาธิที่ลึกและมีความสุข อยู่ในนิพพานที่ลึก พวกเขาก็อยากจะได้อย่างนั้นบ้าง มีลูกศิษย์ที่เด่นๆ อยู่คนหนึ่งชื่อ สวามี วิเวกอานันดา ซึ่งมีชื่อเสียงมากในประเทศของพวกคุณ เขาถามอาจารย์ของเขาว่า “ฉันจะสามารถบรรลุถึงระดับเดียวกับท่านได้ไหม?” เขาถามแบบนี้อยู่หลายครั้งมาก เพราะว่าเขายังไม่เคยไปถึงระดับนั้นเลย อาจารย์ก็เลยด่าเขาไปว่า “เธอนี่โง่จริง มันยังมีระดับอื่นๆ ที่สูงกว่าสมาธิอีก” แล้วอะไรล่ะที่เป็นระดับที่สูงกว่าสมาธิ? ก็คือระดับของความรัก ของความเสียสละอุทิศตนนั่นเอง รักสรรพสิ่งทั้งหมดเท่าๆ กับรักตัวเอง รักศัตรูเหมือนกับรักเพื่อน รักเพื่อนบ้าน และเหนือสิ่งอื่นใดหมดก็คือรักพระเจ้า และยอมทุกอย่างต่อพระเจ้า นั่นก็คือระดับที่สูงกว่าสมาธิ
แต่ว่ามันก็มีกับดักอยู่ตรงนี้ด้วย พวกเราชาวพุทธก็สามารถพูดได้เช่นกันว่า เรารักพระพุทธเจ้า บูชาพระพุทธเจ้า และเราก็รักเพื่อนบ้านของเรา รักเพื่อนของเรา รักศัตรูของเรา ก็แค่นั้นเอง แต่ว่ามันมีความแตกต่างกันนะระหว่างการพูดและการกระทำจริงๆ มนุษย์เราส่วนมากไม่สามารถจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ เพราะว่าเราไม่ได้ถูกฝึกมาแบบนี้
มีเพียงผู้ที่รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถจะมีความรักความเมตตา ความอดทนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นหลายๆ ประเทศในระยะเวลาต่างๆ มากมาย ที่คนยังสู้รบกันในเรื่องเกี่ยวกับความคิดเห็น เรื่องอาณาเขต เรื่องผลประโยชน์ทางการเงิน แต่ว่าพวกเขาพูดกันเสมอในบางครั้งว่า ก็เพราะความรักชาติของเขา รักศาสนาของเขา รักพวกพ้องหรือญาติพี่น้องของเขา บางทีมันก็อาจจะจริงที่พวกเขารักประเทศของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงออกไปรบพุ่งและรุกรานประเทศอื่นๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ว่าแบบนั้นเป็นความรักที่เล็กน้อยเกินไป จำกัดเกินไป
ความรักของพระพุทธเจ้าและพระคริสต์จะรวมทั้งจักรวาลหมด ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติ สีผิว ไม่มีเรื่องเงินทอง ไม่มีเรื่องฐานะ ดังนั้นเราจึงเห็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจึงมีตำแหน่งทางสังคมมากมายหลายอย่าง มีตำแหน่งทางสังคมแตกต่างกัน ต่างเผ่า ต่างผิวพรรณ ต่างฐานะทางสังคม ต่างเชื้อชาติกัน และลูกศิษย์ของพระคริสต์ก็เช่นเดียวกัน มีลูกศิษย์ทุกชนิด เชื้อชาติต่างๆ บุคลิกต่างๆ ความเชื่อต่างๆ ซึ่งจะเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ใต้ปีกของอาจารย์ผู้รู้แจ้ง เพราะว่าความรักของอาจารย์ผู้รู้แจ้งนั้นยิ่งใหญ่มาก มันโอบล้อมรวมทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกัน และไม่มีใครที่จะรู้สึกว่าถูกกีดกันออกไป และจิตวิญญาณที่รู้แจ้งเช่นนั้นจะไม่มีวันไปสู้รบปรบมือ หรือว่าไปเข้าข้างคนใด หรือชาติใด หรือนิกายใด หรือศาสนาใด อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ว่าจะสั่งสอนถึงความรักที่เป็นจักรวาล ความจริงของจักรวาล และจะเสมอภาคเท่าเทียมกันหมดทุกอย่าง ดังนั้น พระเยซูจึงกล่าวไว้ว่า “ทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า อะไรก็ตามที่ฉันทำได้ในวันนี้ เธอก็จะทำได้ดียิ่งกว่านี้อีกในวันพรุ่งนี้” ท่านไม่ได้พูดว่า “ฉันเป็นบุตรของพระเจ้าเพียงคนเดียว” ท่านพูดว่า “พวกเราทุกคนล้วนเป็นลูกของพระเจ้า ในบ้านของพระบิดาของฉัน มีห้องมากมาย และทุกคนก็จะได้รับการต้อนรับทั้งสิ้น” พระพุทธเจ้าก็พูดอย่างเดียวกันด้วยว่า “พวกเราทุกคนสามารถจะเป็นพุทธะได้ ฉันกลายเป็นพุทธะแล้ว เธอก็จะกลายเป็นพุทธะ สรรพสิ่งทั้งหมดล้วนมีธรรมชาติพุทธะ” คำกล่าวเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความคิดที่คล้ายคลึงกัน เข้าใจไหม? คือความเท่าเทียมกันของมนุษย์ในสายตาของพระเจ้า หรือในปัญญาของพุทธะ
เราสามารถเข้าไปยังอาณาจักรของพระเจ้าได้ ในขณะที่ยังอยู่บนโลกใบนี้
ฉันยังไม่ได้เริ่มทำงานภารกิจนี้อย่างจริงจังอะไรนักในช่วงก่อนเว ลาสองปีมานี้ เริ่มมีการประทับจิตครั้งแรกเมื่อไหร่นะ? ตอนนั้นเริ่มต้นในประเทศอินเดีย คงต้องเป็นปี 1983 แน่ ตอนที่ฉันเริ่มต้น ถูกบังคับให้เริ่มต้นนะ ขณะนี้คือปี 1989 หกปีมาแล้ว เพียงแค่หกปีเท่านั้นตั้งแต่ฉันเริ่มต้นภารกิจของฉันเช่นนี้ แต่ว่าฉันก็พบว่าทุกคนรับมรดกสืบช่วงอาณาจักรของพระเจ้ามากันทั้งนั้น ทุกคนมีธรรมชาติพุทธะ และสามารถจะเห็นธรรมชาติพุทธะได้ทันที ถ้าหากว่าเขาหรือหล่อนตั้งใจที่จะเห็น และเชื่อว่าตัวเองสามารถเห็นได้ และเต็มใจที่จะให้ครูช่วยเปิดประตูให้ ทุกคนสามารถเห็น ทุกคนสามารถเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าได้ ไม่มีใครเลย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ร่ำรวยหรือยากจน สำคัญหรือไม่สำคัญ อ่อนแอหรือแข็งแรง เฉลียวฉลาดหรือโง่ ที่จะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า ไม่มีเลย เท่าที่ฉันรู้นะ ดังนั้นฉันจึงเชื่อว่าสิงที่พระคริสต์พูดนั้นเป็นความจริง เราเพียงแต่ต้องกลายเป็นเด็กอีกเท่านั้น แล้วเราจึงจะสามาระเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าได้ และก็เข้าไปได้ทันทีในขณะที่ยังอยู่บนโลกนี้เลย ทำไมหรือ? ก็เพราะว่าคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า “จงดูสิ แล้วก็จะเห็นว่า อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวของเธอ!” ในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ไกลมาก ห่างไปไกล 20,000 ปีแสงเลย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เปล่า! เปล่า! เปล่าเลย! แต่บอกว่า “อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวของเธอ” และพระพุทธเจ้าก็บอกว่า “พุทธะอยู่ในตัวเธอ” เพราะฉะนั้นทั้งสองท่านก็พูดอย่างเดียวกัน ถ้าเราอยากจะพบพุทธะ ถ้าเราอยากจะพบพระเจ้า เราก็ต้องเข้าไปข้างใน
แต่ว่าจะกลายเป็นเด็กใหม่ได้อย่างไรล่ะ? มันไม่ง่ายเลยนะ เราคิดว่าอย่างนั้น ก็จริงหรอกที่ว่ามันไม่ง่าย ถ้าหากว่าต้องทำมันหมดทุกอย่างเอง แต่ว่า ถ้าเรามีพระพรของพระเจ้าและพระพรของพุทธะที่ยังมีชีวิตอยู่ พุทธะที่ยังมีชีวิตไม่ได้เป็นร่างกาย แต่เป็นพลังของความรักที่ไหลเข้าไปในร่างหนึ่ง เพื่ออวยพรทั้งโลก เข้าใจไหม? ฉะนั้นตอนที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านจึงบอกว่าท่านคือพุทธะ แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าท่านภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นพุทธะเลย เปล่า! เปล่า! มันหมายความว่าท่านได้ทำลายตัวตนของท่านเองไปหมดแล้ว ท่านไม่มีสิ่งที่เป็น “ฉัน” แบบธรรมดาทั่วๆ ไปอีกแล้ว แต่ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล กับแรงสรรค์สร้าง เพราะฉะนั้น เวลาพระเยซูพูดว่า “ฉันเป็นบุตรของพระเจ้า, ฉันกับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” มันไม่ได้หมายความว่าท่านเย่อหยิ่งอวดดีและภาคภูมิใจในตัวเองในฐานะที่เป็นตัวตนผู้หนึ่งโดยเฉพาะ แต่ท่านรู้ว่าท่านไม่มีตัวท่านเองแล้ว และท่านได้ร่วมผสมกลมกลืนเข้าไปในมหาสมุทรแห่งจิตสำนึกของมหาปัญญาแล้ว
เพราะฉะนั้น จะกลายเป็นเด็กใหม่ได้อย่างไรล่ะ? ง่ายมาก เราจำเป็นต้องมีกระบวนการที่เรียกว่าการชำระล้างทำความสะอาด เริ่มแรกก็คือ เราต้องปฏิญาณสาบานตนว่าจะปฏิบัติตามพระบัญญัติต่างๆ ของคัมภีร์ไบเบิล หรือคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกครั้ง ทั้งสองคัมภีร์กล่าวไว้คล้ายๆ กัน ข้อแรกในคัมภีร์ไบเบิลคือ “เจ้าต้องไม่ฆ่า” ในศาสนาพุทธก็มีห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และในศาสนาฮินดูก็มีเหมือนกันคืออหิงสา หมายถึงห้ามทำร้ายต่อสิ่งมีชีวิตอื่นใด จากอหิงสานั้นก็แตกกิ่งก้านออกมาเป็นบัญญัติสิบประการของคัมภีร์ไบเบิล เป็นพระสูตรของศาสนาพุทธ พระคริสต์ก็เคยอยู่ในประเทศอินเดียมานานถึงสิบเก้าปี พระพุทธเจ้าก็ต้องเริ่มต้นเรียนรู้จากคัมภีร์เวท แล้วก็กลายเป็นพุทธะด้วยตัวของท่านเอง ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของคัมภีร์ไบเบิล หรือคัมภีร์ของศาสนาพุทธ และเริ่มเปลี่ยนวิธีดำรงชีวิตของเราแล้วล่ะก็ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป เราจะได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์เหมือนเด็ก โดยอาศัยพระพรจากพระเจ้าด้วย แล้วตอนนั้นเมื่อเราบริสุทธิ์ เราก็จะเห็นแสงของพระเจ้า เราจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าหรือที่เรียกกันว่าธรรมชาติพุทธะ
ดังนั้นตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ ท่านทำการล้างบาปให้ผู้คน แต่ว่าตัวของท่านเองก็ต้องผ่านกระบวนการล้างบาปเช่นกัน ท่านกล่าวว่า “ให้เป็นไปตามกฎ” ทำไมท่านจึงต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ? ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่เพราะว่าท่านรู้ว่าท่านต้องทำตัวอย่างของการถ่อมตน ของการเชื่อมั่นในพระพรของพระเข้าให้มนุษยชาติได้เห็น ตลอดทั้งชีวิตของท่านคือตัวอย่างของการถ่อมตน พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ท่านเป็นเจ้าชาย ร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุขในทุกๆ ด้าน มีปัญญาความสามารถมาก ท่านสามารถจะเป็นเจ้าของประเทศทั้งประเทศมีความหรูหราสุขสบาย แต่ว่าท่านก็ออกเดินทางไปทั่วเป็นเวลาสี่สิบเก้าปี แม้แต่หลังจากที่ท่านได้รู้แจ้งแล้ว เพื่อบิณฑบาตขออาหาร การบิณฑบาตของท่านไม่ได้หมายความว่าท่านไม่สามารถจะทำงานหรือทำงานไม่ได้ แต่ว่าเพื่อแสดงอะไรให้เห็นหลายอย่าง แสดงตัวอย่างมากมายแก่มนุษยชาติ ข้อแรกก็คือ เพื่อแสดงให้เราเห็นถึงความไม่ปรารถนาต้องการสำหรับทรัพย์สมบัติทางโลกทั้งหลาย ข้อที่สองก็คือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราทุกคนล้วนต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร ท่านเป็นคนแรกที่สอนเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมกันเพื่อทำลายระบบชั้นวรรณะ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ไม่มีผู้ใดจะแตะต้องได้ในประเทศอินเดีย ท่านสอนโดยวิธีใช้ตัวของท่านเป็นตัวอย่างใช้ความถ่อมตนของท่านเอง ท่านไม่ได้สอนแต่เพียงด้วยปาก ด้วยคำพูด แต่ท่านสอนโดยใช้วิธีของท่านเป็นตัวอย่าง
ทำให้ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ปรากฏในชีวิตของเรา
มหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทุกท่านทำอย่างนั้น พระเยซูก็ทำแบบเดียวกัน ท่านเดินเท้าเปล่า ท่านไม่มีที่สำหรับจะนอน ในสมัยปัจจุบันนี้ ในช่วงเวลาในสมัยของเรานี้ เราไม่สามารถจะทำเหมือนที่พระพุทธเจ้าหรือพระเยซูทำได้หมดทุกอย่าง แต่ว่าเราสามารถจะปฏิบัติตามในหัวใจของเราได้เกี่ยวกับวิธีการดำรงชีวิตของพวกท่าน เราต้องไม่รู้สึกยึดติดกับโลกนี้ และนั่นก็คือการสละโลกเช่นกัน เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่ว่าเรามีชีวิตอยู่โดยปราศจากโลก เราไม่ควรจะอยากได้ความสะดวกสบายทางด้านวัตถุมากมายอะไรนัก เรามีมันเพียงเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตของเราเท่านั้น แต่ในใจเรารู้แน่แท้ว่าผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างพระพุทธเจ้า และพระเยซูไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านี้เลย เราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าด้วยวิธีนี้ ด้วยวิธีที่ไม่ยึดติด ด้วยวิธีของความไม่ปรารถนาต้องการอะไร เราปฏิบัติตามพระเยซูด้วยวิธีนี้ โดยการไม่ยึดติด ไม่ปรารถนาต้องการ และก็ด้วยการมีความรักต่อผู้คน
ตอนนี้ คนอเมริกันได้แสดงให้เห็นถึงความรักอย่างชาวคริสต์ ความรักของพระคริสต์บ้างแล้ว ในการมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ในโลก ตัวอย่างเช่น ประเทศอเมริกาได้รับผู้ลี้ภัยจำนวนมากจากประเทศต่างๆ นั่นก็เป็นความรักของพระคริสต์อย่างหนึ่ง นั่นก็คือวิธีที่เราปฏิบัติตามพระคริสต์ และฉันก็ต้องขอขอบคุณชาวอเมริกันแทนคนเอาแลคด้วย พี่น้องทั้งหลายได้อ้าแขนรับผู้ลี้ภัยที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริงจากเอาแลค นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของความเมตตาของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ฉันก็เชื่อว่า ถ้าคุณเป็นชาวคริสต์ที่ดี คุณก็เป็นชาวพุทธที่ดีคนหนึ่งด้วยเช่นกัน ไม่มีความแตกต่างอะไรกันหรอก ระหว่างผู้ที่นับถือคริสต์ และผู้นับถือพุทธ ตราบใดที่เราทำดีต่อผู้อื่น
ดังนั้นฉันจึงไม่เคยที่จะแบ่งแยกระหว่างผู้ที่นับถือพุทธศาสนากับผู้ที่นับถือคริสต์ ชาวคริสต์ได้ทำดีต่อมนุษยชาติหลายๆ อย่าง และชาวพุทธก็ทำดีต่อมนุษยชาติหลายด้านเช่นกัน เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นการทำและเป็นการทำงานด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน ช่วยระวังด้วยอย่าให้ฉันพูดเลยเข้าไปในเรื่องการเมืองมากไปนะ แต่ว่าฉันก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็นของฉัน ที่จริงแล้ว เป็นเพราะว่า ถ้าเราไม่สามารถจะนำเอาสิ่งที่เราเรียนรู้มาจากความเป็นชาวคริสต์ หรือจากศาสนาพุทธมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเหมาะสมแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไร? จริงไหม? เพราะฉะนั้นเราจงแสดงจิตใจที่ฝักใฝ่ในศาสนาของเราออกมาด้วยการกระทำของเราเอง ดังนั้น ถ้าหากว่าเราพูดอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลก และการนิรโทษกรรม และความเมตตาของชาวอเมริกัน หรือประเทศอื่นๆ มันก็เป็นการเหมาะสมมากเช่นกัน! เหมาะกับการบรรยายทางศาสนาด้วย
แต่ว่า สิ่งที่ฉันอยากจะพูดถึงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมเห็นชัดได้มากกว่านั้น เพราะว่ามีบางคนอยากจะรู้จักพระเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อรับใช่พระเจ้าในกรอบของมนุษย์ แต่ยังต้องการจะรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าที่อยู่เหนือโลก, ธรรมชาติพุทธะที่อยู่เหนือโลกเหนือธรรมชาติ เราเห็นว่าพระคริสต์กลายเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นได้อย่างไร มันมีเหตุผล มีวิธีที่จะบรรลุถึงความยิ่งใหญ่นี้ ก็เหมือนกับศาสตร์ใดๆ ทั้งหลาย เหมือนกับที่คุณอยากจะศึกษาในมหาวิทยาลัย คุณก็ต้องมีสิ่งที่เป็นเงื่อนไขข้อแม้อย่างนี้อย่างนั้น คุณต้องมีเงินบ้าง มีคุณวุฒิบางอย่างจากโรงเรียนมัธยม คุณต้องผ่านการสอบอะไรบางอย่าง ทีนี้ถ้าเราอยากจะกลายเป็นพุทธะหรือพระคริสต์ นอกจากความรักอันยิ่งใหญ่ที่เราแสดงต่อมนุษย์ผู้อื่นทั้งหลาย อย่างเช่นในการทำงานเพื่อมนุษยชน, ในงานเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม, ในการบริการรับใช้สังคมแล้ว เราก็ต้องรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของเราด้วย เราต้องรู้ว่าเรามาจากไหน และเราต้องรู้ว่าเรายิ่งใหญ่เพียงใด
ศาสนาที่ดีๆ และใหญ่ๆ ทุกศาสนาต้องสอนผู้คนเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมด้วย มิฉะนั้น ทำไมพวกเขาถึงต้องมาสนใจสอนให้คนทำดีและเป็นคนดีกันล่ะ ถ้าเราไม่มีการชดใช้สำหรับการกระทำนั้นในเวลาต่อมาหรือเมื่อไร หรือในเวลาที่จบชีวิตไปแล้วอะไรเลย? แล้วเราจะต้องสนใจที่จะเป็นคนดี ทำดีไปทำไม? เพราะว่าถ้าพวกคุณเลว หรือทำตัวซุกซนไม่ดี อะไรบางอย่าง ทำบาปไว้มาก คุณก็จะมีแค่ชีวิตนี้ชีวิตเดียวนี่ เพราะฉะนั้นกฎแห่งกรรมและสิ่งที่ตามมาด้วยก็คือกฎของการเวียนว่ายตายเกิด จึงเป็นสิ่งที่เป็นปกติธรรมดามาก และทุกๆ ศาสนาก็จะสอนถึงเรื่องกฎแบบนี้ไม่ว่าจะอย่างเปิดเผยหรืออย่างลับๆ ฉันหมายถึงว่า สอนอย่างที่ไม่ได้พูดแบบเป็นนัยๆ มันก็เหมือนกับที่เรามีกฎหมายในทุกๆ ชาติ เพื่อที่จะปกป้องความเป็นระเบียบของสังคม กฎของจักรวาลก็มีอยู่เพื่อปกป้องความเป็นระเบียบและความอยู่ดีมีสุขของสรรพสัตว์ทั้งมวลในจักรวาล
ถ้าเราอาศัยอยู่ในประเทศหนึ่ง เราก็ต้องรู้กฎหมายของประเทศนั้นบ้างนิดหน่อยเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสอดคล้องปรองดองกัน และก็ไม่ทำอะไรที่เป็นภัยแก่ตัวเองด้วยการทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดี หรือละเมิดกฎหมาย ทีนี้พอเรามาคิดดูดีๆ เราไม่ได้อาศัยอยู่ในชาติหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่าเรายังกำยังอาศัยอยู่ในจักรวาลด้วย และทุกๆ ชาติก็เป็นเหมือนกับห้องๆ หนึ่งในบ้านหลังใหญ่ ฉะนั้น มันจึงเป็นหน้าที่ของเราเช่นกันที่จะต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องกฎของจักรวาลบ้างเล็กน้อย หลังจากที่เราได้ศึกษากฎของชาติต่างๆ มาแล้ว เราอาจจะสังเกตเห็นว่า บางครั้งกฎหมายอย่างหนึ่งในประเทศนี้ ไม่สามารถจะเอาไปใช้ในประเทศอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศของเราเช่นในประเทศเอาแลค หรืออาจจะประเทศอเมริกาก็ได้ คุณสามารถจะมีภรรยาหรือสามีได้เพียงคนเดียว นั่นเป็นกฎหมาย เป็นแบบนี้ในอเมริกาด้วยหรือเปล่า (ผู้ฟัง : เป็น) ทีนี้ ถ้าคุณเกิดมีภรรยาหรือสามีเป็นคนที่สองหรือสามล่ะก็ ภรรยาหรือสามีของคุณก็สามารถจะฟ้องต่อศาลและทำให้เกิดความลำบากกับคุณได้
ในประเทศทิเบต มันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเลย ปัจจุบันผู้หญิงคนหนึ่งสามารถจะมีหลายสามีได้หลายคน ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถจะแต่งงานกับพี่ชายน้องชายทุกคนในครอบเดียวกันนั้นได้ เปล่านะฉันไม่ได้พูดเล่นนะ คุณอาจจะไปหาอ่านเอาเองก็ได้ รู้ไหมถ้าคุณอ่านหนังสือที่เขียนโดยสวามี วิเวก อานันดา พวกคุณเคยอ่านบ้างไหม? เคยอ่านบางเล่มไหม ไม่เคยหรือ? เขาเล่าประสบการณ์ของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ เขากล่าวว่า พอเขารู้สึกตกใจและเอ่ยปากถามชายคนหนึ่งว่าทำไมพวกเขาถึงทำแบบนี้ ทำไมพวกเขาถึงแต่งงานกับผู้หญิงคนเดียว ในระหว่างพี่ชายน้องชายของเขาห้าหรือหกคนนั้น ชายคนนั้นก็ตอบว่า “ในทิเบตนี้ จะถือว่าเป็นการเห็นแก่ตัว ถ้าคนไม่แบ่งปันของดีๆ ทุกอย่างไม่ว่าอะไรกับพี่น้อง” เพราะฉะนั้นเขาก็เลยเฝ้าแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับความเกี่ยวเนื่องกันของกฎหมายกับความถูกต้องต่อศีลธรรมในบางครั้ง
ในทุกประเทศในตอนนี้ เราก็ต้องใช้ชีวิตให้ถูกกฎหมายของประเทศนั้นๆ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาไม่ทำให้ตัวเราเองหรือผู้อื่นต้องช้ำใจ เพราะฉะนั้นเราจะพูดไม่ได้ว่า “อ้าว ก็ชาวทิเบต เขาทำกันอย่างนั้น พวกเราชาวอเมริกันก็เลยทำตามน่ะซี” เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าพวกเราคนอเมริกันก็คือคนอเมริกัน เรามีอารมณ์ความรู้สึกของเราเอง มีภูมิหลังพื้นเพของประเพณีของเราเอง และมีการตัดสินใจในสิ่งที่ผิดที่ชอบของเราเอง เราไม่สามารถจะไปลอกเลียนแบบของใครได้เลย ก็เหมือนกับชาวเอาแลค ชาวจีน หรือประชาชนของประเทศอื่นใดก็ตาม พวกเขาไม่มีทางจะเลียนแบบประเพณีของประเทศอื่นได้ พวกเขาอาจจะเคารพกฎหมายก็จริง แต่ว่ามันก็ยังมีกฎอย่างอื่นที่เรามองไม่เห็น เกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ความรู้สึกและวิถีทางดำรงชีวิตที่พวกเขาไม่มีทางจะเลียนแบบได้
กฎของจักรวาลจะคงอยู่ตลอดไป
ฉะนั้นเราถือว่าเมื่อเราอาศัยอยู่ในชาติใด เราก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของชาตินั้นๆ ดังนั้น ขณะนี้เราอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้ เราก็ต้องปฏิบัติตามกฎของจักรวาลของเราเช่นกัน กฎของจักรวาลนั้นจะปกป้องคุ้มครองไม่ให้เราต้องลดระดับลงไปอยู่ในระดับชั้นที่ต่ำลง ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราอาศัยอยู่ในประเทศหนึ่ง แล้วเราก่ออาชญากรรมอะไรบางอย่าง หรือว่าละเมิดกฎหมายบางอย่าง เราก็ต้องถูกจับเข้าคุก หรืออาจจะต้องเสียค่าปรับ ใช่ไหม? (ผู้ฟัง : ใช่) ทีนี้ถ้าเราอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้ แล้วเราเกิดไปทำความผิดอะไรบางอย่างขึ้นมาซึ่งไม่เหมาะสมกับกฎของจักรวาล เราก็ต้องถูกจับไปอยู่ในสภาวะอื่นใดบางอย่างซึ่งไม่เป็นที่น่ายินดีสำหรับตัวเรา นั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่ากรรม หรือกฎของการชดใช้การกระทำ “หว่านพืชอะไร ก็ได้ผลอย่างนั้น”
ดังนั้น ถ้าเราอยากจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขสอดคล้องกับผู้อื่น และไม่ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่น่ายินดีต่อตัวเราเอง เราก็ควรจะศึกษากฎของจักรวาลบ้าง กฎของจักรวาลไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ และไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงไปได้เหมือนกับกฎหมายของมนุษย์ เวลาเราดูกฎหมายของมนุษย์ เราก็จะเห็นว่ามันผันแปรแตกต่างกันไปจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง และแม้กระทั่งมาตรฐานทางศีลธรรมก็ยังแตกต่างกันจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศได้ แต่ว่า กฎของจักรวาลจะเหมือนเดิมเสมอไป ตัวอย่างเช่น ในคัมภีร์ไบเบิลมีกล่าวไว้ว่า “เธอต้องไม่ฆ่า เธอต้องไม่ทำผิดประเวณี เธอต้องไม่ลักขโมย เธอต้องรักเพื่อนบ้าน รักศัตรูของเธอ ฯลฯ...” กฎเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป
ถ้าหากว่าเราอยากจะรู้จักพระเจ้าหรือที่เราเรียกว่าธรรมชาติพุทธะ พระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะสำหรับตัวฉันแล้ว ก็คือสิ่งเดียวกันนั่นเอง ฉันได้รู้จักและมีประสบการณ์ในสิ่งนี้มาแล้ว คุณอาจจะเรียกมันว่า พระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะก็ได้ ทีนี้ถ้าคุณอยากจะประสบพบกับธรรมชาติพระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะ หรือที่เราเรียกว่าโฉมหน้าที่แท้จริงแล้วล่ะก็ คุณก็จะต้องปฏิบัติตามกฎนี้ และการปฏิบัติตามกฎนี้ก็ยังไม่ใช่แต่เพียงสิ่งเดียวที่เราจะต้องทำเท่านั้น แต่ว่า มันเป็นเงื่อนไขอันดับแรกหากเราต้องการจะรู้จักพระเจ้า หรืออยากจะรู้จักธรรมชาติพุทธะ เพราะฉะนั้นในไบเบิล จึงกล่าวว่า “แท้จริงแล้วฉันขอบอกพวกเธอว่า เว้นเสียแต่ว่าเธอจะเกิดใหม่อีก, เว้นเสียแต่ว่าเธอจะกลายเป็นเด็กอีกเท่านั้น นอกนั้นเธอไม่มีทางจะเข้าไปยังอาณาจักรของพระเจ้าได้” ในลัทธิเต๋าและท่านเล่าจื๊อ ก็กล่าวไว้เช่นกันว่า เราต้องกลับมาบริสุทธิ์เหมือนเด็กใหม่อีก
และในพุทธศาสนาก็เช่นกัน สังฆปรินายกผู้ยิ่งใหญ่ของเราท่านหนึ่งคือ ฮุ่ยเหนิง ซึ่งเป็นสังฆปรินายกองค์ที่หกของพระพุทธศาสนานิกายเซ็นในประเทศจีน แต่จริงๆ แล้ว ตามประวัติ-ศาสตร์ดั้งเดิมนั้นท่านเกิดในเอาแลค ตอนนี้ฉันจะไม่โต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก เพราะว่าชาวจีนต้องการจะอ้างว่าท่านเป็นชาวจีน เพราะฉะนั้นเราก็จะยกท่านให้แก่พวกเขาเช่นกัน ไม่เป็นไรหรอก ท่านเป็นของจักรวาลอยู่ดี แต่ฉันพูดเพียงเพื่อเป็นข้อมูลให้ทราบเท่านั้น เพราะว่าฉันต้องพูดความจริง ต้องการพูดความจริงเสมอ ถ้าพวกคุณอยากจะรู้ให้มากขึ้นว่าท่านเป็นใคร ก็มาคุยกับฉันทีหลังก็ได้ เราไม่ต้องการจะมาโต้เถียงกันเรื่องสถานที่เกิดของท่าน หรือสิทธิแต่กำเนิดของท่าน ฉันเพียงแต่พูดถึงนิดหน่อยเท่านั้นเอง เอาล่ะท่านฮุ่ยเหนิงพูดไว้ว่าอย่างนี้ “เวลาที่ฉันทำสมาธิ ฉันเพียงแต่ตรวจดูความผิดของฉันเองเท่านั้น ฉันไม่ตรวจดูความผิดของผู้อื่น” นั้นหมายความว่า คุณบริสุทธิ์แล้ว คุณไม่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น คุณเป็นเหมือนกับเด็กคนหนึ่งเท่านั้น คำกล่าวเหล่านี้ไม่เหมือนกันหรือ? เหมือนกันใช่ไหม? (ผู้ฟัง : ใช่), มันเหมือนกัน
คุณคิดถูกแล้ว เพราะว่าใครก็ตามที่รู้แจ้งแล้ว และได้มองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของความเป็นพระเจ้า หรือความเป็นพุทธะสักแวบหนึ่งหรือหลายแวบ จะต้องพูดและมีความเห็นแบบเดียวกันนี้ พวกเขาไม่มีทางจะพูดอย่างอื่นได้แน่ พูดได้เพียงความจริงเท่านั้น ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนอกจากความจริง ความจริงอาจจะฟังดูแปลกๆ หรืออาจจะไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับหลายๆ คน แต่จะอย่างไรก็ตาม มันจะเป็นที่คุ้นเคยมากสำหรับผู้ที่มีปัญญา และผู้ที่กำลังรู้สึกคุ้นเคยกับความจริงแล้ว เราอาจจะพูดกับตัวเองว่า “ฉันไม่เคยศึกษาเรียนรู้อะไรมาก่อนเลย” “ฉันไม่เคยไปโบสถ์เลย” “ฉันไม่เคยไปวัดทางพุทธเลย” “ฉันไม่เคยอ่านพระสูตรเล่มไหนเลยด้วยซ้ำ” แต่ว่า นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณไม่รู้จักสัจธรรมความจริง คุณอาจจะเคยรู้จักมันมาก่อนแล้ว หรืออาจจะเคยรู้จักสัจธรรมความจริงมาแล้วในชาติก่อน ตอนนี้ มันก็จะต้องการน้ำอีกเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ให้เมล็ดพันธุ์นั้นได้งอกงามออกมาอีก
ใช้ประโยชน์จากพลังสมองเพื่อพัฒนาพลังที่อยู่ภายในตัวของเราอย่างเต็มที่
ฉันเพิ่งจะพูดถึงอาจารย์ฮุ่ยเหนิง ท่านไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ว่าท่านมีชื่อเสียงมานานหลายศตวรรษแล้ว และตอนนี้ก็ยังมีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีก นับตั้งแต่พุทธศาสนานิกายเซ็น หรือนิกายฌาณ หรือพุธศาสนาในจีน ได้เริ่มแพร่ไปยังประเทศทางตะวันตก เพราะว่าธรรมชาติพระเจ้าหรืออาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวของเรา หรือธรรมชาติพุทธะอยู่ภายในตัวเราตั้งแต่เกิด นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า “ปัญญา” สำหรับในคำทางวิทยาศาสตร์ หรือสิ่งที่เราอธิบายว่า เป็นความสามารถ 95 เปอร์เซ็นต์ที่เรายังไม่ได้ใช้เลย เข้าใจเรื่องนี้ไหม? เพราะนักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า เราใช้ปัญญาของเรา ใช้ความสามารถทางสมองของเราเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผู้ที่สามารถใช้ปัญญาหรือสติปัญญาทางสมองของเขาได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็คือพระพุทธเจ้า ก็คือพระคริสต์เจ้า ก็คือท่านเล่าจื๊อ คือท่านกฤษณะ หรือพระโมฮัมหมัด หรือผู้ใดก็ตามที่คุณเชื่อว่ามีพลังสมองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของเรา พวกท่านเหล่านี้คือผู้ที่รู้ความลับของทางที่จะเข้าไปสู่อาณาจักรของสติปัญญาของเราโดยตลอด นั้นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าอาณาจักรของพระเจ้า
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในตัวของเราเอง นิพพานก็เช่นเดียวกัน พุทธะทั้งหลาย, พระคริสต์ ล้วนเกิดมาจากอาณาจักรของพระเจ้านี้ ไม่มีใครเกิดมาโดยปราศจากอาณาจักรของพระเจ้านี้ หรือปราศจากธรรมชาติพุทธะนี้ ก็เหมือนกับคลื่นเกิดมาจากมหาสมุทร ทีนี้มันจะมีวิธีใดไหมที่จะสามารถควบคุมสติปัญญาของเรานี้ได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์? มีสิ มันมีวิธี มีหลายวิธี มีวิธีที่สั้นๆ วิธีที่ยาวๆ วิธีใหญ่ วิธีเล็ก วิธีที่ง่ายๆ และวิธีที่ยากๆ บางคนก็ใช้วิธีสวดอ้อนวอน วิธีอดอาหาร วิธีใช้ระเบียบวินัยจัดเคร่งครัด หรือพยายามจะทำด้วยตำราของปัญญาแต่โบราณกาล ว่าคนยอมพลียอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างอย่างไร เพื่อจะได้พบพระเจ้า ได้พบธรรมชาติพุทธะ แต่ว่าสำหรับปัจจุบันนี้ ถ้าเรายังยึดถือปฏิบัติตามหนทางที่มีวินัยจัดเคร่งครัดมากเหล่านั้น มันก็ยากเกินไป ใช้เวลามากไป เราไม่สามารถแค่เข้าไปอยู่ในป่า แล้วก็ละทิ้งสังคมไว้เบื้องหลังได้
ในสมัยโบราณ คนมีความปรารถนาอยากได้อะไรน้อยกว่านี้ และมีความสะดวกสบายในชีวิตน้อยกว่าเดี๋ยวนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาอยากได้ แต่ก็ไม่มีทางจะได้ ปัจจุบันนี้ เรามีสิ่งที่ยั่วยวนหลอกล่อมากขึ้นเนื่องจากมีความสะดวกสบายมากขึ้น บางครั้งเราไม่อยากได้สิ่งนี้หรือสิ่งนั้น แต่ว่าเพื่อนบ้านของเรามีสิ่งนั้น แล้วภรรยาของเราก็ไม่ยอมให้เราได้พักผ่อนอยู่เฉยๆ จนกว่าหล่อนจะได้ของอย่างนั้นเหมือนกัน หรือในทางกลับกัน ก็อาจจะเป็นตัวสามีที่อยากได้ ในสมัยก่อน คนจะพอใจแล้วถ้าพวกเขามีเสื้อผ้าแค่สองสามชุด และมีอะไรกินนิดๆ หน่อยๆ ยังไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีการติดต่อสื่อสาร ไม่มีทีวี หรืออะไรแบบนั้น ดังนั้น คนจึงไม่ถูกยั่วยวนใจให้อยากได้อะไรมากขึ้น เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมีเวลามากกว่า ที่จะใช้ทำงานอดิเรกอย่างเช่นการค้นหาพระเจ้า
ค้นหาพระเจ้าเป็นงานอดิเรกที่น่าเพลิดเพลินที่สุด
จะอย่างไรก็ตาม การค้นหาพระเจ้าก็เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งเช่นกัน สำหรับตัวฉันแล้วมันเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง เป็นงานอดิเรกที่น่าเพลิดเพลินมาก ปัจจุบันนี้คนมีงานอดิเรกกันหลายอย่างต่างๆ นาๆ แต่ว่างานอดิเรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขากลับลืมไป นั่นก็คือการที่จะค้นหาพระเจ้า ค้นหาธรรมชาติพุทธะภายในได้อย่างไร ฉันขอบอกพวกคุณว่า การค้นหาพระเจ้าไม่ได้เป็นเรื่องยากเท่ากับการหาเงินเลย ตอนที่ฉันกำลังทำงานหาเงินนั้น มันยากเย็นมาก ฉันต้องทำงานหนักวันละ 8-10 ชั่วโมง แล้วถึงอย่างนั้นมันก็ยังถูกใช้จ่ายหมดไปได้รวดเร็วมาก ถ้าหากว่าเราไม่ระมัดระวัง และแม้กระทั่งว่าเราระมัดระวังแล้ว เราก็ยังแค่พอชักหน้าถึงหลังได้บ้าง และก็มีเงินเหลือเก็บนิดหน่อย สำหรับตอนอายุมากเท่านั้น ไม่มีอะไรเหลือมาก แต่ถ้าเราค้นพบอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว มันจะอยู่คงทนไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาความฉลาด ความสุข ความยินดี ที่เราพบ มันจะเป็นของเราอยู่เสมอ ไม่มีวันถูกใช้จ่ายหมดไป ไม่มีใครจะมาขโมยมันไปจากเราได้เลย และถึงอย่างนั้น สิ่งที่เป็นกำไรทางวัตถุของเราก็จะตามมาด้วยเช่นกัน ดังนั้น ในไบเบิลจึงกล่าวไว้ว่า “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนอื่นใด และสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาเอง”
คนในสมัยโบราณจึงรู้ว่าความสุขที่ยั่งยืนอยู่ที่ไหน พวกเขาถึงได้บำเพ็ญปฏิบัติวิถีทางแห่งชีวิต, เต๋า บำเพ็ญวิถีทางของชาวพุทธหรือวิถีทางของชาวคริสต์ พวกคุณเข้าใจนะว่า ฉันเกิดมามีชีวิตเป็นทั้งชาวคาทอลิกและชาวพุทธ ดังนั้นฉันก็ต้องพูดเพื่อทั้งคู่ หวังว่าพวกคุณคงไม่ว่าอะไร และเนื่องจาก ดร.ทาวันตี้ ก็ได้กล่าวไปแล้วว่า เรา, ชาวเอาแลคมีประเพณีของความมีจิตใจที่เปิดกว้าง มีอิสรภาพในการคิด มีอิสรภาพในการนับถือ เพราะฉะนั้นฉันก็ต้องทำตามประเพณีของเราต่อไป ยึดมั่นถือตามประเพณีเอาแลคของเรา ในประเทศเอาแลค สามีที่เป็นคาทอลิกกับภรรยาที่เป็นพุทธจะจูงมือกันไปโบสถ์ในตอนเช้า และไปวัดในตอนบ่าย คนของเราส่วนมากจะไม่มีจิตใจที่แบ่งแยก หรือถกเถียงกันใหญ่โตว่าใครเป็นผู้ที่ดีที่สุด หรือว่าศาสนาใดสูงที่สุด ถ้าเธอมีความสุขกับศาสนาของเธอ ก็ดีแล้ว! ฉันก็มีความสุขกับศาสนาของฉัน เราอาจจะเรียนรู้สิ่งที่ดีๆ บางอย่างจากกันและกันได้
อย่างไรก็ตาม เราเป็นใครกันที่จะไปตัดสินพระพุทธเจ้า? เราเป็นใครที่จะไปตัดสินพระเยซูคริสต์? เรายังไปไม่ถึงระดับนั้นเลย เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกท่านยิ่งใหญ่ขนาดไหน ว่าพวกท่านได้ทำอะไรลงไป เราสามารถจะตัดสินใจได้จากกฎที่ดีๆ ทั้งหลายที่พวกท่านได้ทิ้งไว้ให้เรา จากคำสั่งสอนที่ดีๆ จากตัวอย่างที่เด่นๆ ของการเสียสละและความรักของท่าน เราจึงรู้ว่าพระเยซูก็ใช้ได้ เราจึงรู้ว่าพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ เราไม่มีทางจะไปวิพากษ์วิจารณ์พวกท่าน ไม่ว่าจะในเรื่องใดๆ ก็ตาม สำหรับสิ่งต่างๆที่ท่านได้ทำไว้แก่มนุษยชาตินั้น ท่านทั้งสองไม่ควรจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์เลย ผู้ใดที่นับถือพระคริสต์ก็ควรจะเป็นชาวคริสต์ที่ดี ใครนับถือพระพุทธเจ้าก็ควรจะเป็นชาวพุทธที่ดีที่สุด หน้าที่ของเราก็มีแค่นี้เอง ไม่ควรจะวิพากษ์วิจารณ์ หรือว่าไม่ควรจะเปรียบเทียบอะไรทั้งสิ้น
รู้แจ้งเถิดแล้วจะได้เห็นพระเจ้าทันที
เพราะฉะนั้นในการพูดทุกครั้ง ฉันจะไม่เน้นให้คนมาทำตามฉัน ที่จะมาโกนผมแล้วก็มาเป็นชีหรือว่าเป็นชาวพุทธด้วย ถ้าคุณเป็นชาวคริสต์ คุณก็เป็นไปเหมือนเดิม ถ้าคุณนับถือศาสนาใดก็เป็นไปตามเดิม และถึงแม้ว่าคุณจะไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ฉันก็พยายามจะไม่ทำให้คุณเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่ ฉันจะเพียงแต่อยากแสดงให้คุณเห็นว่ามีพระเจ้าอยู่ หรือมีธรรมชาติพุทธะอยู่ แล้วตอนนั้นคุณก็จะเชื่อเอง เพราะว่าถ้าเราไม่เห็นพระเจ้า ถ้าเราไม่เห็นธรรมชาติพุทธะภายในตัวเรา มันก็ยากมากที่จะเชื่อ ไม่ใช่หรือ? เพราะฉะนั้น เราจะไปตำหนิคนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าไม่ได้ที่เขาไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะได้รับพรที่ว่า ไม่เห็นแต่ก็เชื่อ ดังนั้นสำหรับบางคนที่ไม่เชื่อเพราะว่าไม่ได้เห็น เราก็ขอมอบโอกาสที่จะได้เห็นพระเจ้า หรือได้เห็นธรรมชาติพุทธะ นั่นก็คือ ที่เราเรียกว่า การรู้แจ้งในทันที
เมื่อคุณรู้จักธรรมชาติของตนเองและรู้จักอาณาจักรของพระเจ้าภายในแล้ว นั่นแหละเราจึงอาจจะเชื่อ เพราะว่าเวลาที่เรารู้แจ้ง ไม่ว่าเราจะเป็นชาวคริสต์หรือชาวพุทธหรือเต๋า เราก็จะพบกับสิ่งเดียวกัน เราจะพบกับปัญญาเดียวกัน อาณาจักรเดียวกัน นิพพานเดียวกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ฉันเคยไปที่นั่นมาแล้ว และก็ไม่พบว่ามีอะไรที่แตกต่างกันเลย มันเป็นสถานที่แห่งเดียวกัน จริงๆ แล้วการพูดว่า “สถานที่” ก็เป็นเพียงวิธีพูดออกมาเท่านั้นเอง แต่ว่าไม่จำเป็นจะต้องเป็นสถานที่หรอกเวลาที่คุณรู้แจ้ง มันเป็นสภาวะหนึ่งของจิตใจ เป็นระดับของจิตสำนึก ของการคิด ของการรู้ ของการได้เข้าใจในระดับที่สูงขึ้น นั่นก็เรียกว่าอาณาจักรของพระเจ้าหรือธรรมชาติพุทธะเช่นกัน ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องบินไปยังสถานที่สวยงามทุกๆ วัน ไม่จำเป็นเลย
การรู้แจ้งแสดงออกมาให้เห็นเองได้หลายวิธี คุณอาจจะเห็นสถานที่ที่สวยงาม เห็นระดับชั้นต่างๆ ของจิตใจ ระดับต่างๆ ของการดำรงอยู่ หรือคุณอาจจะมีปัญญา มีคุณธรรมความดีในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อที่จะบริการตนเอง หรือคนในครอบครัวที่ใกล้ชิด, บริการรับใช้ประเทศชาติของคุณ และทั้งโลก ตอนที่อาจารย์ชาวอินเดียผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งคือ ศรี รามกฤษณะ ยังมีชีวิตอยู่ ฉันคิดว่าพวกคุณคงเคยได้ยินชื่อเขากันแล้วนะ ไม่เคยหรอกหรือ? (ผู้ฟัง : เคย) เราไม่มีทางจะพูดว่าเขาเป็นชาวพุทธได้เลย เพราะฉะนั้นอย่าหาว่าฉันพูดสนับสนุนพุทธศาสนาแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ฉันมีความคิดเกี่ยวกับนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนเท่าเทียมเสมอกันหมด
ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น แน่นอนที่เขาได้เห็นภาพเกี่ยวกับพระเจ้ามากมาย และก็มีสมาธิแบบต่างๆ หลายแบบ ลูกศิษย์ของเขาต่างก็อยากจะมีสมาธิในแบบที่คล้ายๆ กับที่เขามีมาก ฉันคิดว่าพวกคุณคงรู้นะว่า สมาธิคืออะไร ใช่ไหม? ถ้าคุณไม่รู้ ฉันก็จะอธิบายก็แล้วกัน สมาธิหมายถึง เวลาที่คุณอยู่ในจิตสำนึกที่มีระดับสูงขึ้นอย่างหนึ่ง และคุณก็ตัดการติดต่อกับโลกภายนอกไปในตอนนั้น คุณกำลังติดต่ออยู่กับพระเจ้า คุณเห็นแต่เพียงอาณาจักรสวรรค์เท่านั้น ไม่เห็นความทุกข์ยาก ความเจ็บปวด และไม่มีความทุกข์ ความเจ็บปวดของโลกนี้ หรือว่าความไม่สบายกายไม่สบายใจใดๆ เลย คุณกำลังมีความสุขมาก มีปีติสุขมาก นั่นแหละที่เราเรียกว่าสมาธิ แต่ว่าสมาธิก็ยังมีระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งฉันจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นในคืนนี้ ถ้าคุณมีปัญหาอะไร คราวหลังเราจะพูดถึงเรื่องนี้ให้ลึกขึ้นกว่านี้ก็ได้
ความรักเป็นประสบการณ์ที่เหนือกว่าสมาธิ
ทีนี้ลูกศิษย์ของเขาเห็นเขาอยู่ในสมาธิทุกวันหลายครั้งเข้า เห็นเขาอยู่ในสมาธิที่ลึกและมีความสุข อยู่ในนิพพานที่ลึก พวกเขาก็อยากจะได้อย่างนั้นบ้าง มีลูกศิษย์ที่เด่นๆ อยู่คนหนึ่งชื่อ สวามี วิเวกอานันดา ซึ่งมีชื่อเสียงมากในประเทศของพวกคุณ เขาถามอาจารย์ของเขาว่า “ฉันจะสามารถบรรลุถึงระดับเดียวกับท่านได้ไหม?” เขาถามแบบนี้อยู่หลายครั้งมาก เพราะว่าเขายังไม่เคยไปถึงระดับนั้นเลย อาจารย์ก็เลยด่าเขาไปว่า “เธอนี่โง่จริง มันยังมีระดับอื่นๆ ที่สูงกว่าสมาธิอีก” แล้วอะไรล่ะที่เป็นระดับที่สูงกว่าสมาธิ? ก็คือระดับของความรัก ของความเสียสละอุทิศตนนั่นเอง รักสรรพสิ่งทั้งหมดเท่าๆ กับรักตัวเอง รักศัตรูเหมือนกับรักเพื่อน รักเพื่อนบ้าน และเหนือสิ่งอื่นใดหมดก็คือรักพระเจ้า และยอมทุกอย่างต่อพระเจ้า นั่นก็คือระดับที่สูงกว่าสมาธิ
แต่ว่ามันก็มีกับดักอยู่ตรงนี้ด้วย พวกเราชาวพุทธก็สามารถพูดได้เช่นกันว่า เรารักพระพุทธเจ้า บูชาพระพุทธเจ้า และเราก็รักเพื่อนบ้านของเรา รักเพื่อนของเรา รักศัตรูของเรา ก็แค่นั้นเอง แต่ว่ามันมีความแตกต่างกันนะระหว่างการพูดและการกระทำจริงๆ มนุษย์เราส่วนมากไม่สามารถจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ เพราะว่าเราไม่ได้ถูกฝึกมาแบบนี้
มีเพียงผู้ที่รู้แจ้งเท่านั้นที่สามารถจะมีความรักความเมตตา ความอดทนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นหลายๆ ประเทศในระยะเวลาต่างๆ มากมาย ที่คนยังสู้รบกันในเรื่องเกี่ยวกับความคิดเห็น เรื่องอาณาเขต เรื่องผลประโยชน์ทางการเงิน แต่ว่าพวกเขาพูดกันเสมอในบางครั้งว่า ก็เพราะความรักชาติของเขา รักศาสนาของเขา รักพวกพ้องหรือญาติพี่น้องของเขา บางทีมันก็อาจจะจริงที่พวกเขารักประเทศของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงออกไปรบพุ่งและรุกรานประเทศอื่นๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ว่าแบบนั้นเป็นความรักที่เล็กน้อยเกินไป จำกัดเกินไป
ความรักของพระพุทธเจ้าและพระคริสต์จะรวมทั้งจักรวาลหมด ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติ สีผิว ไม่มีเรื่องเงินทอง ไม่มีเรื่องฐานะ ดังนั้นเราจึงเห็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจึงมีตำแหน่งทางสังคมมากมายหลายอย่าง มีตำแหน่งทางสังคมแตกต่างกัน ต่างเผ่า ต่างผิวพรรณ ต่างฐานะทางสังคม ต่างเชื้อชาติกัน และลูกศิษย์ของพระคริสต์ก็เช่นเดียวกัน มีลูกศิษย์ทุกชนิด เชื้อชาติต่างๆ บุคลิกต่างๆ ความเชื่อต่างๆ ซึ่งจะเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ใต้ปีกของอาจารย์ผู้รู้แจ้ง เพราะว่าความรักของอาจารย์ผู้รู้แจ้งนั้นยิ่งใหญ่มาก มันโอบล้อมรวมทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกัน และไม่มีใครที่จะรู้สึกว่าถูกกีดกันออกไป และจิตวิญญาณที่รู้แจ้งเช่นนั้นจะไม่มีวันไปสู้รบปรบมือ หรือว่าไปเข้าข้างคนใด หรือชาติใด หรือนิกายใด หรือศาสนาใด อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ว่าจะสั่งสอนถึงความรักที่เป็นจักรวาล ความจริงของจักรวาล และจะเสมอภาคเท่าเทียมกันหมดทุกอย่าง ดังนั้น พระเยซูจึงกล่าวไว้ว่า “ทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า อะไรก็ตามที่ฉันทำได้ในวันนี้ เธอก็จะทำได้ดียิ่งกว่านี้อีกในวันพรุ่งนี้” ท่านไม่ได้พูดว่า “ฉันเป็นบุตรของพระเจ้าเพียงคนเดียว” ท่านพูดว่า “พวกเราทุกคนล้วนเป็นลูกของพระเจ้า ในบ้านของพระบิดาของฉัน มีห้องมากมาย และทุกคนก็จะได้รับการต้อนรับทั้งสิ้น” พระพุทธเจ้าก็พูดอย่างเดียวกันด้วยว่า “พวกเราทุกคนสามารถจะเป็นพุทธะได้ ฉันกลายเป็นพุทธะแล้ว เธอก็จะกลายเป็นพุทธะ สรรพสิ่งทั้งหมดล้วนมีธรรมชาติพุทธะ” คำกล่าวเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความคิดที่คล้ายคลึงกัน เข้าใจไหม? คือความเท่าเทียมกันของมนุษย์ในสายตาของพระเจ้า หรือในปัญญาของพุทธะ
เราสามารถเข้าไปยังอาณาจักรของพระเจ้าได้ ในขณะที่ยังอยู่บนโลกใบนี้
ฉันยังไม่ได้เริ่มทำงานภารกิจนี้อย่างจริงจังอะไรนักในช่วงก่อนเว ลาสองปีมานี้ เริ่มมีการประทับจิตครั้งแรกเมื่อไหร่นะ? ตอนนั้นเริ่มต้นในประเทศอินเดีย คงต้องเป็นปี 1983 แน่ ตอนที่ฉันเริ่มต้น ถูกบังคับให้เริ่มต้นนะ ขณะนี้คือปี 1989 หกปีมาแล้ว เพียงแค่หกปีเท่านั้นตั้งแต่ฉันเริ่มต้นภารกิจของฉันเช่นนี้ แต่ว่าฉันก็พบว่าทุกคนรับมรดกสืบช่วงอาณาจักรของพระเจ้ามากันทั้งนั้น ทุกคนมีธรรมชาติพุทธะ และสามารถจะเห็นธรรมชาติพุทธะได้ทันที ถ้าหากว่าเขาหรือหล่อนตั้งใจที่จะเห็น และเชื่อว่าตัวเองสามารถเห็นได้ และเต็มใจที่จะให้ครูช่วยเปิดประตูให้ ทุกคนสามารถเห็น ทุกคนสามารถเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าได้ ไม่มีใครเลย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ร่ำรวยหรือยากจน สำคัญหรือไม่สำคัญ อ่อนแอหรือแข็งแรง เฉลียวฉลาดหรือโง่ ที่จะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า ไม่มีเลย เท่าที่ฉันรู้นะ ดังนั้นฉันจึงเชื่อว่าสิงที่พระคริสต์พูดนั้นเป็นความจริง เราเพียงแต่ต้องกลายเป็นเด็กอีกเท่านั้น แล้วเราจึงจะสามาระเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าได้ และก็เข้าไปได้ทันทีในขณะที่ยังอยู่บนโลกนี้เลย ทำไมหรือ? ก็เพราะว่าคัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า “จงดูสิ แล้วก็จะเห็นว่า อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวของเธอ!” ในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ไกลมาก ห่างไปไกล 20,000 ปีแสงเลย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เปล่า! เปล่า! เปล่าเลย! แต่บอกว่า “อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวของเธอ” และพระพุทธเจ้าก็บอกว่า “พุทธะอยู่ในตัวเธอ” เพราะฉะนั้นทั้งสองท่านก็พูดอย่างเดียวกัน ถ้าเราอยากจะพบพุทธะ ถ้าเราอยากจะพบพระเจ้า เราก็ต้องเข้าไปข้างใน
แต่ว่าจะกลายเป็นเด็กใหม่ได้อย่างไรล่ะ? มันไม่ง่ายเลยนะ เราคิดว่าอย่างนั้น ก็จริงหรอกที่ว่ามันไม่ง่าย ถ้าหากว่าต้องทำมันหมดทุกอย่างเอง แต่ว่า ถ้าเรามีพระพรของพระเจ้าและพระพรของพุทธะที่ยังมีชีวิตอยู่ พุทธะที่ยังมีชีวิตไม่ได้เป็นร่างกาย แต่เป็นพลังของความรักที่ไหลเข้าไปในร่างหนึ่ง เพื่ออวยพรทั้งโลก เข้าใจไหม? ฉะนั้นตอนที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านจึงบอกว่าท่านคือพุทธะ แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าท่านภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นพุทธะเลย เปล่า! เปล่า! มันหมายความว่าท่านได้ทำลายตัวตนของท่านเองไปหมดแล้ว ท่านไม่มีสิ่งที่เป็น “ฉัน” แบบธรรมดาทั่วๆ ไปอีกแล้ว แต่ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล กับแรงสรรค์สร้าง เพราะฉะนั้น เวลาพระเยซูพูดว่า “ฉันเป็นบุตรของพระเจ้า, ฉันกับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน” มันไม่ได้หมายความว่าท่านเย่อหยิ่งอวดดีและภาคภูมิใจในตัวเองในฐานะที่เป็นตัวตนผู้หนึ่งโดยเฉพาะ แต่ท่านรู้ว่าท่านไม่มีตัวท่านเองแล้ว และท่านได้ร่วมผสมกลมกลืนเข้าไปในมหาสมุทรแห่งจิตสำนึกของมหาปัญญาแล้ว
เพราะฉะนั้น จะกลายเป็นเด็กใหม่ได้อย่างไรล่ะ? ง่ายมาก เราจำเป็นต้องมีกระบวนการที่เรียกว่าการชำระล้างทำความสะอาด เริ่มแรกก็คือ เราต้องปฏิญาณสาบานตนว่าจะปฏิบัติตามพระบัญญัติต่างๆ ของคัมภีร์ไบเบิล หรือคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกครั้ง ทั้งสองคัมภีร์กล่าวไว้คล้ายๆ กัน ข้อแรกในคัมภีร์ไบเบิลคือ “เจ้าต้องไม่ฆ่า” ในศาสนาพุทธก็มีห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และในศาสนาฮินดูก็มีเหมือนกันคืออหิงสา หมายถึงห้ามทำร้ายต่อสิ่งมีชีวิตอื่นใด จากอหิงสานั้นก็แตกกิ่งก้านออกมาเป็นบัญญัติสิบประการของคัมภีร์ไบเบิล เป็นพระสูตรของศาสนาพุทธ พระคริสต์ก็เคยอยู่ในประเทศอินเดียมานานถึงสิบเก้าปี พระพุทธเจ้าก็ต้องเริ่มต้นเรียนรู้จากคัมภีร์เวท แล้วก็กลายเป็นพุทธะด้วยตัวของท่านเอง ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของคัมภีร์ไบเบิล หรือคัมภีร์ของศาสนาพุทธ และเริ่มเปลี่ยนวิธีดำรงชีวิตของเราแล้วล่ะก็ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป เราจะได้รับการชำระล้างให้บริสุทธิ์เหมือนเด็ก โดยอาศัยพระพรจากพระเจ้าด้วย แล้วตอนนั้นเมื่อเราบริสุทธิ์ เราก็จะเห็นแสงของพระเจ้า เราจะเห็นอาณาจักรของพระเจ้าหรือที่เรียกกันว่าธรรมชาติพุทธะ
ดังนั้นตอนที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ ท่านทำการล้างบาปให้ผู้คน แต่ว่าตัวของท่านเองก็ต้องผ่านกระบวนการล้างบาปเช่นกัน ท่านกล่าวว่า “ให้เป็นไปตามกฎ” ทำไมท่านจึงต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ? ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่เพราะว่าท่านรู้ว่าท่านต้องทำตัวอย่างของการถ่อมตน ของการเชื่อมั่นในพระพรของพระเข้าให้มนุษยชาติได้เห็น ตลอดทั้งชีวิตของท่านคือตัวอย่างของการถ่อมตน พระศากยมุนีพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ท่านเป็นเจ้าชาย ร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุขในทุกๆ ด้าน มีปัญญาความสามารถมาก ท่านสามารถจะเป็นเจ้าของประเทศทั้งประเทศมีความหรูหราสุขสบาย แต่ว่าท่านก็ออกเดินทางไปทั่วเป็นเวลาสี่สิบเก้าปี แม้แต่หลังจากที่ท่านได้รู้แจ้งแล้ว เพื่อบิณฑบาตขออาหาร การบิณฑบาตของท่านไม่ได้หมายความว่าท่านไม่สามารถจะทำงานหรือทำงานไม่ได้ แต่ว่าเพื่อแสดงอะไรให้เห็นหลายอย่าง แสดงตัวอย่างมากมายแก่มนุษยชาติ ข้อแรกก็คือ เพื่อแสดงให้เราเห็นถึงความไม่ปรารถนาต้องการสำหรับทรัพย์สมบัติทางโลกทั้งหลาย ข้อที่สองก็คือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราทุกคนล้วนต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร ท่านเป็นคนแรกที่สอนเรื่องความเสมอภาคเท่าเทียมกันเพื่อทำลายระบบชั้นวรรณะ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ไม่มีผู้ใดจะแตะต้องได้ในประเทศอินเดีย ท่านสอนโดยวิธีใช้ตัวของท่านเป็นตัวอย่างใช้ความถ่อมตนของท่านเอง ท่านไม่ได้สอนแต่เพียงด้วยปาก ด้วยคำพูด แต่ท่านสอนโดยใช้วิธีของท่านเป็นตัวอย่าง
ทำให้ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ปรากฏในชีวิตของเรา
มหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทุกท่านทำอย่างนั้น พระเยซูก็ทำแบบเดียวกัน ท่านเดินเท้าเปล่า ท่านไม่มีที่สำหรับจะนอน ในสมัยปัจจุบันนี้ ในช่วงเวลาในสมัยของเรานี้ เราไม่สามารถจะทำเหมือนที่พระพุทธเจ้าหรือพระเยซูทำได้หมดทุกอย่าง แต่ว่าเราสามารถจะปฏิบัติตามในหัวใจของเราได้เกี่ยวกับวิธีการดำรงชีวิตของพวกท่าน เราต้องไม่รู้สึกยึดติดกับโลกนี้ และนั่นก็คือการสละโลกเช่นกัน เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่ว่าเรามีชีวิตอยู่โดยปราศจากโลก เราไม่ควรจะอยากได้ความสะดวกสบายทางด้านวัตถุมากมายอะไรนัก เรามีมันเพียงเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตของเราเท่านั้น แต่ในใจเรารู้แน่แท้ว่าผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างพระพุทธเจ้า และพระเยซูไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านี้เลย เราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าด้วยวิธีนี้ ด้วยวิธีที่ไม่ยึดติด ด้วยวิธีของความไม่ปรารถนาต้องการอะไร เราปฏิบัติตามพระเยซูด้วยวิธีนี้ โดยการไม่ยึดติด ไม่ปรารถนาต้องการ และก็ด้วยการมีความรักต่อผู้คน
ตอนนี้ คนอเมริกันได้แสดงให้เห็นถึงความรักอย่างชาวคริสต์ ความรักของพระคริสต์บ้างแล้ว ในการมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ในโลก ตัวอย่างเช่น ประเทศอเมริกาได้รับผู้ลี้ภัยจำนวนมากจากประเทศต่างๆ นั่นก็เป็นความรักของพระคริสต์อย่างหนึ่ง นั่นก็คือวิธีที่เราปฏิบัติตามพระคริสต์ และฉันก็ต้องขอขอบคุณชาวอเมริกันแทนคนเอาแลคด้วย พี่น้องทั้งหลายได้อ้าแขนรับผู้ลี้ภัยที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริงจากเอาแลค นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของความเมตตาของพระพุทธเจ้า ดังนั้น ฉันก็เชื่อว่า ถ้าคุณเป็นชาวคริสต์ที่ดี คุณก็เป็นชาวพุทธที่ดีคนหนึ่งด้วยเช่นกัน ไม่มีความแตกต่างอะไรกันหรอก ระหว่างผู้ที่นับถือคริสต์ และผู้นับถือพุทธ ตราบใดที่เราทำดีต่อผู้อื่น
ดังนั้นฉันจึงไม่เคยที่จะแบ่งแยกระหว่างผู้ที่นับถือพุทธศาสนากับผู้ที่นับถือคริสต์ ชาวคริสต์ได้ทำดีต่อมนุษยชาติหลายๆ อย่าง และชาวพุทธก็ทำดีต่อมนุษยชาติหลายด้านเช่นกัน เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นการทำและเป็นการทำงานด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน ช่วยระวังด้วยอย่าให้ฉันพูดเลยเข้าไปในเรื่องการเมืองมากไปนะ แต่ว่าฉันก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็นของฉัน ที่จริงแล้ว เป็นเพราะว่า ถ้าเราไม่สามารถจะนำเอาสิ่งที่เราเรียนรู้มาจากความเป็นชาวคริสต์ หรือจากศาสนาพุทธมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเหมาะสมแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไร? จริงไหม? เพราะฉะนั้นเราจงแสดงจิตใจที่ฝักใฝ่ในศาสนาของเราออกมาด้วยการกระทำของเราเอง ดังนั้น ถ้าหากว่าเราพูดอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลก และการนิรโทษกรรม และความเมตตาของชาวอเมริกัน หรือประเทศอื่นๆ มันก็เป็นการเหมาะสมมากเช่นกัน! เหมาะกับการบรรยายทางศาสนาด้วย
แต่ว่า สิ่งที่ฉันอยากจะพูดถึงนั้นเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมเห็นชัดได้มากกว่านั้น เพราะว่ามีบางคนอยากจะรู้จักพระเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อรับใช่พระเจ้าในกรอบของมนุษย์ แต่ยังต้องการจะรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าที่อยู่เหนือโลก, ธรรมชาติพุทธะที่อยู่เหนือโลกเหนือธรรมชาติ เราเห็นว่าพระคริสต์กลายเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้นได้อย่างไร มันมีเหตุผล มีวิธีที่จะบรรลุถึงความยิ่งใหญ่นี้ ก็เหมือนกับศาสตร์ใดๆ ทั้งหลาย เหมือนกับที่คุณอยากจะศึกษาในมหาวิทยาลัย คุณก็ต้องมีสิ่งที่เป็นเงื่อนไขข้อแม้อย่างนี้อย่างนั้น คุณต้องมีเงินบ้าง มีคุณวุฒิบางอย่างจากโรงเรียนมัธยม คุณต้องผ่านการสอบอะไรบางอย่าง ทีนี้ถ้าเราอยากจะกลายเป็นพุทธะหรือพระคริสต์ นอกจากความรักอันยิ่งใหญ่ที่เราแสดงต่อมนุษย์ผู้อื่นทั้งหลาย อย่างเช่นในการทำงานเพื่อมนุษยชน, ในงานเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม, ในการบริการรับใช้สังคมแล้ว เราก็ต้องรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของเราด้วย เราต้องรู้ว่าเรามาจากไหน และเราต้องรู้ว่าเรายิ่งใหญ่เพียงใด
การเดินทางกลับไปยังแหล่งดั้งเดิมของเรา
เราเคยยิ่งใหญ่มาในอดีต เรามาจากอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเราไม่ได้มาจากพระเจ้าแล้ว เราจะมากจากไหนกันล่ะ? พระเจ้าสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเราไม่ได้มาจากธรรมชาติพุทะหรือเต๋านี้ แล้วเราจะมาจากไหน? เราต้องเริ่มต้นจากตรงนั้น จากแหล่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล เพราะฉะนั้น เราจึงยิ่งใหญ่ตลอดมาเสมอ เป็นแต่เพียงว่าเราลืมไป นั่นก็คือความจริง คือเราลืมไป เอาละตอนนี้มันมีวิธีหนึ่งที่จะจดจำสิ่งเหล่านี้ได้อีก โดยการเดินย้อนกลับไปยังแหล่งที่สูงกว่านั้น ที่ที่เราจากมา ก็เหมือนกับคุณเดินไปตามแม่น้ำไปจนถึงทะเล ตอนนี้ถ้าคุณอยากจะกลับไปยังต้นน้ำใหม่ก็ต้องเดินย้อนกลับไป แล้วอาณาจักรของพระเจ้านั้นอยู่ในตัวเรา ฉะนั้นก็ต้องเดินย้อนเข้าข้างใน มีวิธีหนึ่งที่จะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าภายใน ได้เห็นพุทธะภายใน นั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าวิธีรู้แจ้ง กลับไปยังแหล่งเดิม พระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติตามวิธีนี้เพื่อจะกลายเป็นพุทธะ พระเยซูคริสต์ก็ได้ปฏิบัติตามวิธีนี้เพื่อจะกลายเป็นบุตรของพระเจ้า
ที่นี้ถ้าเราพูดว่า เราทุกคนล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า เราเป็นพุทธะอยู่แล้ว แล้วทำไมเราจึงจำเป็นจะต้องบำเพ็ญด้วย? ใช่ เราเป็นพุทธะ แต่ว่าเราลืมไปแล้ว มันไม่มีประโยชน์สำหรับเราแล้ว ในตอนนี้ เราจะต้องระลึกขึ้นมาให้ได้อีกจากการบากบั่นพากเพียรที่จะกลับไปสู่อดีต สู่ความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ของเราเอง นั่นก็คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า สติปัญญาที่ซ่อนอยู่ภายในอยู่เฉยๆ ทั้ง 95 เปอร์เซ็นต์นั้น ใน 95 เปอร์เซ็นต์นั้นมีอะไรๆ อยู่หลายอย่างมาก ขณะนี้แค่เพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เราก็สามารถไปถึงดาวอังคารได้แล้ว ไปถึงพระจันทร์ได้แล้ว เราสามารถสร้างเครื่องบิน สร้างจรวด และความสะดวกสบายทั้งหลายในชีวิตได้แล้ว มันจะยิ่งดีกว่านี้อีกสักเท่าไหร่ถ้าเราสามารถใช้สติปัญญาอีก 95 เปอร์เซ็นต์นั้น? อาณาจักรของพระเจ้าก็จะเป็นของเรา ถ้าเรารู้วิธีที่จะใช้มัน
เรารู้ว่าเราเป็นพุทธะ ทุกคนบอกว่าเราเป็นพุทธะ หรือเราเป็นบุตรของพระเจ้า แต่ว่าเราไม่รู้ว่าความยิ่งใหญ่นั้นอยู่ที่ไหน เราเพียงแต่รู้ว่า เราไม่มีความทุกข์อยู่ทุกวัน หรือว่าไม่ทุกวัน ฉันหมายถึงหลายๆ วันเป็นส่วนมาก ฉันต้องขอโทษด้วยก็แล้วกันถ้าคุณมีความสุข แต่ว่าฉันเห็นคนส่วนมากแม้ว่าพวกเขาจะมีเงินทอง มีครอบครัวที่ดี มีฐานะ แต่ทุกสิ่งอย่างก็ไม่จีรังยั่งยืน ดูประเทศของเราสิ ประเทศเอาแลคน่ะ เคยเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรือง มีความสงบสุข เรามีอะไรหลายอย่าง มีแร่ธาตุมากมาย มีการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ มีวัฒนธรรมที่ดี แต่แล้วจู่ๆ เราก็ไม่มีอะไรเลย จู่ๆ ทุกอย่างก็กลับผกผันไป ทุกอย่างถูกทำลายไปหมด คนต้องหนีออกจากประเทศไปเผชิญอันตรายในท้องทะเล และต้องต่อสู้เพื่อการอยู่รอดของชีวิต มีหลายคนที่มาอยู่ในประเทศของพวกคุณที่เคยเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้บังคับบัญชา เป็นนายพลทหารในประเทศของเรา เป็นคนระดับหัวหน้าหรือผู้นำสูงสุดกันในประเทศของเรา เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีในประเทศของเรา พวกเขาไม่ได้ยากจนกันทั้งหมด ไม่ได้รู้หนังสือกันทั้งหมด ไม่ใช่คนที่ไร้ประโยชน์ช่วยไม่ได้ พวกเขาเคยมีอดีตที่รุ่งเรือง เคยเป็นบุคคลที่มีสติปัญญา มีฐานะทางสังคม เคยร่ำรวยและมีวัฒนธรรม เพียงแต่ว่าชีวิตที่ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืนนี้มันหันเหไปในบางครั้ง ทำให้คนหมดสิ้นทุกอย่าง ทำให้ผู้คนของเราต้องได้รับความอับอายขายหน้า
บางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขาก็ได้ ฉันก็ไม่รู้เหมือน กัน ที่เราจะต้องเรียนรู้ที่จะตกต่ำลงมาในบางครั้ง เพื่อจะได้มีความถ่อมตัว และเพื่อจะได้รู้ว่ามีแรงพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าที่มือไม้และสมองของมนุษย์เราจะสามารถควบคุมมันได้ แล้วตอนนั้นเราก็ต้องหันกลับมาหาพระเจ้า หันกลับมาบำเพ็ญเพื่อจะเป็นพุทธะกัน และเพื่อจะได้พึ่งพามหาพลังนี้ของธรรมชาติพุทธะ หรือของอาณาจักรพระเจ้า นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงต้องเรียนรู้จากภัยพิบัติทั้งหลายในบางครั้งเพื่อจะได้รู้จักพระเจ้า ไม่อย่าง นั้นเราก็ยังคงมีความสำเร็จในชีวิตเรา และก็มีความสำเร็จมากจนเราถูกมันพาชักจูงไปไกล แล้วก็ลืมไปว่าเรามาจากไหนกัน เราลืมไปแล้วว่าเรายิ่งใหญ่มากกว่าการเป็นแค่นักกฎหมายคนหนึ่งเท่านั้น เรายิ่งใหญ่กว่าการเป็นประธานาธิบดีคนหนึ่ง เรายิ่งใหญ่กว่าการเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เราเป็นลูกของพระเจ้า, เราเป็นพุทธะ ฉะนั้นสิทธิแต่กำเนิดของมนุษย์ในเรื่องนี้เราจะต้องเรียกร้องเอาคืนมา ไม่สำคัญว่าจะด้วยอะไร ด้วยความสุข ด้วยความปรารถนาใฝ่หา หรืออาศัยภัยพิบัติต่างๆ
ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ฉะนั้นจงบำเพ็ญปฏิบัติกันก่อนที่จะสายเกินไป
เราต้องปลุกให้ตื่นขึ้นมาโดยอาศัยวิธีการต่างๆ มากมาย ดังนั้น ฉันจึงพูดไว้แต่ต้นว่า มีวิธีหลายวิธีที่จะค้นพบปัญญาภายใน ถ้าเราไม่ปรารถนาที่จะค้นพบมันเอง บางครั้งพระผู้สร้างก็จะส่งภัยพิบัติทั้งหลายมาปลุกเรา เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นกันหลายครั้งว่า ในเวลาที่มีความทุกข์กดดันและมีภัยพิบัติ เราจะสวดอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างศรัทธาจริงใจมากกว่าที่เราสบายดี มากกว่าที่เรามีความสุข หรือมีสภาพที่มั่นคง ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ? ดังนั้นเวลาเรามีความเจ็บปวด หรือในครอบครัวของเรามีใครตายไป หรือมีภัยพิบัติอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเราจึงจะสวดอธิษฐาน ตอนนั้นเราจึงจะพึงระลึกถึงพระเจ้าอย่างแจ่มชัดมาก “ได้โปรดเถิด ได้โปรดเถิด ได้โปรด” อ้อนวอนขอร้องอะไรต่างๆ นานา
ตอนนี้ เราไม่จำเป็นจะต้องรอจนกระทั่งมีภัยพิบัติอะไรเกิดขึ้นกับเรา เพื่อจะระลึกขึ้นมาได้ที่จะบำเพ็ญปฏิบัติ เพื่อที่จะเป็นพุทธะที่ดีอีก หรือเป็นเหมือนกับพระคริสต์อีก เราควรจะบำเพ็ญกันตอนที่เรายังมีเวลา สบายๆ และมีสภาพดี เพื่อที่เราจะไม่ต้องประสบกับภัยพิบัติ เป็นแบบที่เราเรียกกันในเอาแลคว่า กันไว้ดีกว่าแก้ ในภาษาเอาแลคพูดกันแบบนั้น ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี ทุกชาติก็จะพูดแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่าเราไม่ยอมทำกันเอง เราไม่ยอมป้องกันเรื่องต่างๆ เราเพียงแต่ทำอะไรลงไป แล้วก็ต้องได้รับผลจากการกระทำนั้นแล้วเราก็ร้องไห้ ตอนนี้พวกเราผ่านชีวิตมา 30 40 50 ปีแล้ว เราควรจะรู้มากขึ้นนิดหน่อยแล้วเกี่ยวกับธรรมชาติอันไม่จีรังยั่งยืนของชีวิต เราควรจะหันกลับมาหาพระเจ้ากันได้แล้วในตอนนี้ เพื่อที่ว่าวันที่เราจะจากโลกนี้ไป พระเจ้าจะได้เปิดประตูอาณาจักรไว้ให้เรา เพื่อที่พุทธะจะได้ต้อนรับเรา ไม่ใช่พบกับความมืด ไม่ใช่พบกับระดับแห่งความชั่วร้าย ที่เราเรียกว่า พลังของซาตาน หรือพลังทางลบ หรือพลังของมารร้าย
เพราะฉะนั้น ฉันจึงมาอยู่ที่นี่เหมือนกับในที่แห่งอื่นๆ ทุกแห่ง ก็เพียงเพื่อจะมอบวิธีหนึ่งให้พวกคุณได้ค้นพบความยิ่งใหญ่ของตัวคุณเอง จะด้วยพระเจ้าก็ดี หรือด้วยพระพุทธก็ดีเช่นกัน หรือไม่มีพระเจ้า ไม่มีพุทธะ คุณก็ยังสามารถจะค้นพบความยิ่งใหญ่ของคุณได้ เพราะว่าคุณคือสิ่งนั้นอยู่แล้ว คุณเกิดมาจากพระเจ้าอยู่แล้ว คุณก็ต้องกลับไปหาพระเจ้าอยู่ดี ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม คุณคือสิ่งนั้นอยู่แล้ว คุณไม่สามารถจะหลบหนีไปได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เพราะฉะนั้นฉันเพียงแต่อยากจะมอบสิ่งที่ฉันได้ค้นพบแล้วว่าเป็นทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สมบัติที่หลบซ่อนอยู่ภายในตัวของฉันเองให้แก่คุณ และฉันก็รู้ว่าสมบัติที่หลบซ่อนอยู่นี้ก็อยู่ภายในตัวคุณเช่นกัน ฉันอยากจะช่วยให้คุณได้รู้จักความยิ่งใหญ่ของคุณ ความมีค่าของตัวคุณเอง เท่านั้นเอง แล้วคุณก็จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างพระราชา, อย่างนักบุญ อย่างที่พระคริสต์ และอย่างที่พระพุทธเจ้าได้มีชีวิตอยู่ในโลก และก็ไม่มีปมด้อย หรือทำหน้าที่การงานของคุณไม่ได้ดี นอนไม่หลับ มีความรู้สึกผิดในใจ มีความป่วยไข้เป็นโรคทั้งทางกายและใจ นั่นก็คือวัตถุประสงค์ของฉัน ตอนนี้ฉันก็จะขอจบการบรรยายแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณ! (เสียงปรบมือ)