วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การรู้แจ้งคือเครื่องมือสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง

ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ณ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ วอชิงตันดีซี สหรัฐฯ
14 เมษายน 1993 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)


ฉันรู้สึกท่วมท้นตื้นตันในความรักของท่าน และโปรแกรมการต้อนรับที่พวกท่านได้จัดขึ้น ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาก เพราะต้องเดินทางและไม่ได้นอนพักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวัน แต่ในคืนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันได้รับพร และมีความปลื้มปีติอย่างมากที่ได้มาร่วมการชุมนุมกับพวกท่าน ฉันมั่นใจว่าเราจะได้รู้จักกันและกัน เหมือนอย่างที่เราเคยรู้จักกันมาแล้ว คืนนี้ไม่มีอะไรใหม่สำหรับพวกเราเลย แต่ขอให้เราได้เตือนใจกันและกันถึงสิ่งที่อาจจะลืมไป หรือสิ่งที่เราได้นำไปวางไว้ที่มุมอันห่างไกลแห่งจิตวิญญาณของเรา แล้วก็ไม่มีโอกาสไปเปิดดูมันอีกเลย สิ่งนั้นก็คือการรู้แจ้ง หรือธรรมชาติแห่งการรู้แจ้งของตัวตนอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ที่ฉันรู้สึกตื้นตันนั้นมิใช่เพราะความรักของพวกท่านเท่านั้น แต่เพราะฉันรู้อย่างชัดเจนว่า ฉันกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าบรรดาพุทธะ และพระเจ้าที่ปรากฏโฉมออกมา สิ่งนี้แหละที่นำน้ำตาแห่งความยินดีมาสู่หัวใจของฉัน
ไม่ใช่ว่าทุกครั้งที่ฉันนั่งอยู่กับคนจำนวนมากแล้วฉันจะรู้สึกตระหนักยินดีในเรื่องนี้เสมอไป แต่มันก็เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ และมันเป็นสิ่งที่งดงามมาก โดยเฉพาะบางโอกาสที่ฉันรู้สึกท้อถอย ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ฉันครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ ว่ามันเป็นสิ่งที่มีประ โยชน์จริงๆ หรือเปล่า แต่ในคืนนี้ฉันก็รู้สึกว่าฉันจะทำมันต่อไป ทั้งนี้ก็เพราะความรักของพวกท่านและปัญญาอันสูงส่งของพวกท่าน ฉันรู้ดีว่าฉันจะทำมันต่อไปได้แน่ นอน (คนปรบมือ) และในอนาคตอันใกล้นี้หากฉันได้รับความสำเร็จสามารถทำให้ผู้คนได้รับความสุข ได้ตระ หนักรู้ถึงพระเจ้า ในระหว่างที่เดินทางไปบรรยายธรรมตามที่ต่างๆ นี้ ฉันก็จะระลึกถึงผู้คนที่วอชิงตันดีซี ขอบ คุณมากๆ (คนปรบมือ) คืนนี้ฉันต้องการสิ่งนี้จริงๆ มันเป็นสิ่งที่ดีมาก (คนปรบมือ)

การรู้แจ้งมีอยู่แล้ว รอให้ผู้ที่เป็นอาจารย์มาเปิดมันเท่านั้น

การรู้แจ้งนั้นมีอยู่ภายในตัวของเราอยู่แล้ว เพราะฉะ นั้น ไม่ว่าสิ่งใดที่เพื่อนประทับจิตของเราบอกว่ามาจากตัวฉัน ฉันก็ไม่ควรจะยอมรับเพราะว่ามันเป็นของพวกเธอทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความยิ่งใหญ่หรือพระพรซึ่งเธอได้รับในระหว่างที่เธอฝึกบำเพ็ญทางจิตวิญญาณ หรือเธอค้นพบมันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก็ล้วนแต่เป็นของเธอ แต่เนื่องจากพี่ๆน้องๆ ที่มีจิตวิญญาณพัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับสูง จะมีธรรมชาติของความถ่อมตนอยู่ภายใน พวกเขาจึงยกพลังมหัศจรรย์ต่างๆ และพลังพรทั้งหมดให้กับผู้ที่เป็นอาจารย์ ไม่ว่าอาจารย์ของเขาจะเป็นใครซึ่งอาจจะบังเอิญเข้ามาอยู่ร่วมหนทางเดียวกับเขา และได้ช่วยแสดงวิธีให้เขาได้ค้นพบตนเองอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากพวกเธอไม่ได้รู้แจ้งอยู่ก่อนแล้ว ถ้าธรรมชาติของเธอไม่ใช่พุทธะ ฉันก็ไม่มีวันจะทำให้เธอกลายเป็นพุทธะได้เลย ถ้าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในตัวเธอมาก่อนแล้ว ฉันก็ไม่มีวันแสดงพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวของเธอได้ ฉันไม่สามารถจะทำให้หินกลายเป็นเพชร ไม่ว่าฉันจะนั่งขัดถูมันนานสักเท่าไรก็ตาม เธอเข้าใจไหม!
เพราะฉะนั้น จากความถ่อมตนทั้งหมดของฉันๆ จึงอยากจะบอกให้พวกเธอทราบว่า พวกเธอนั้นมีความยิ่งใหญ่มาก พวกเธอคือมหาอาจารย์สูงสุดและเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีอะไรที่ฉันควรจะเอามาสอนเธอเพียงแต่จะช่วยชี้ให้เธอเห็นอัญมณีอันมีค่า ซึ่งเธอเก็บไว้ในกระเป๋าและเธอลืมมันไป เนื่องจากเธอมัวแต่วุ่นวายเที่ยวมองหามันที่อื่น บ่อยครั้งทีเดียวที่เธอทำแบบนั้นเธอเอาของใส่กระเป๋า เช่น แว่นตาของเธอ หรือเงินหรือสิ่งมีค่าอะไรก็ตาม แล้วเธอก็ลืมไปทั้งๆ ที่มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง (อาจารย์หัวเราะ) เธอเที่ยวมองหาค้นทั่วบ้านทุกซอกทุกมุมแต่ก็หาไม่เจอ เพราะฉะนั้นเธอจึงคิดว่าการแสวงหาทรัพย์สมบัติของเธอนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่าควรจะมองหาที่ไหนแค่นั้นเอง และอาจจะมีเพื่อนบางคนยืนอยู่ข้างๆ บอกเธอว่า "เฮ้! มันอยู่ในกระเป๋าของเธอไง" นี่แหละคืองานของผู้ที่เป็นอาจารย์ ดังนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ใครที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "อาจารย์" จากบรรดาลูกศิษย์ จริงๆ แล้วเขาก็เหมือนกับเรานั่นเอง เขาควรจะเป็นผู้ที่ถ่อมตนมากๆ มีคุณสมบัติความเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทุกประการ และเขาก็ไม่รู้ หรอกว่าตัวเองคืออาจารย์ แต่เนื่องจากบรรดาลูกศิษย์ได้รับประสบการณ์ จึงอ้างว่าเกิดจากอาจารย์ผู้นั้นเหมือนคำกล่าวที่ว่า "เมื่อเห็นผลที่ออกมาจากเธอก็รู้ได้ว่าเธอเป็นอะไร" แต่อย่างไรก็ตาม จะเป็น "อาจารย์" หรือ "ไม่ใช่อาจารย์" ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือเพื่อนที่มีประสบการณ์คนนั้น ซึ่งเราเรียกเขาว่าอาจารย์ จะต้องสามารถแสดงให้เราเห็นความยิ่งใหญ่ของตัวเรา แล้วเราก็สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นได้

ความแตกต่างระหว่างผู้รู้แจ้งและไม่รู้แจ้ง

ผู้ที่รู้แจ้งและผู้ที่ไม่รู้แจ้งนั้น มีความแตกต่างกันมากมาย ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีลักษณะคุณสมบัติต่างๆ เหมือนๆ กัน มีปัญญาระดับเดียวกันและมีความยิ่งใหญ่เท่าเทียมกัน ฉันไม่สามารถบอกเธอได้ว่าแตกต่างกันอย่างไร แต่ฉันรู้ว่ามันต่างกัน และลูกศิษย์ของเราหลายคนก็รู้สิ่งนี้หลังจากได้รับการประทับจิต ใช่ไหม? (ผู้ฟัง:ใช่) พวกเธอบางคนทราบดี แล้วหลังจากนั้นเธอก็ไปพูดคุยกับคนที่ยังไม่ได้รับการประทับจิต ยังไม่ได้ค้นพบคุณสมบัติบางส่วนของปัญญาของเขา ก็จะเห็นความแตกต่างกันอย่างมากมายระหว่างบุคคลทั้งสอง แม้ว่าลักษณะภายนอกจะไม่มีอะไรต่างกันเลยก็ตาม การรู้แจ้งจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นก้าวเข้ามาอยู่ในตัวบ้าน เพื่อที่ จะมาตรวจดูว่ามีสมบัติอะไรอยู่ภายในตัวบ้าน เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในตัวบ้านเขาก็พ้นจากความหนาวเย็น พ้นจากอันตราย จากสุนัขป่า เสือ และภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งหลายซึ่งอาจจะเกิด ขึ้นได้
มีความแตกต่างกันมาก เมื่อเราเข้ามาอยู่ในบ้านเราก็รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายใน ถ้าเรายังอยู่แถวๆ บริเวณประตูอย่างน้อยก็รู้ว่า การตกแต่งภายในเป็นอย่าง ไร และเมื่อเราก้าวเดินสำรวจจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง เราก็จะพบสมบัติพบเฟอร์นิ เจอร์และสิ่งมีค่าทั้งหมดที่อยู่ภายในบ้าน แล้วเราก็อาจไปบอกคนนอกบ้านว่าข้างในมีอะไร คนที่อยู่นอกบ้านเมื่อได้ฟังเรื่อง ราวแล้วก็อาจนำไปเล่าต่อให้คนอื่นฟังว่ามีอะไรอยู่ภายในตัวบ้าน แต่การนำไปเล่าต่อกับการได้เห็นได้สัมผัสจริงๆ นั้นมีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ การอยู่ภายในตัวบ้านยังได้รับประโยชน์ด้านความปลอดภัยจากอันตรายข้างนอกบ้านอีกด้วย

บางคนถามฉันว่า "ฉันก็โอเคแล้ว ฉันไม่ต้อง การรู้แจ้งหรอก รู้ไปทำไม? ถ้าไม่รู้แจ้งจะโอเคไหม?" ฉันก็ตอบว่า "ได้ๆ โอเค" (อาจารย์หัวเราะ) ก็ไม่มีทางเลือกนี่ แต่เวลาที่เราอยู่นอกบ้านบางครั้งก็ปลอดภัยบางครั้งก็มีแสงแดดแต่บางครั้งก็มีฝนตก บาง ครั้งอาจจะมีพายุใต้ฝุ่นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ และเมื่อเรารู้แล้วว่าเรามีบ้านเราก็อาจจะออกมานอกบ้านได้ในบางครั้ง แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นหรือเมื่อเราต้องการกลับเข้าบ้านเราก็กลับเข้าไปได้ มีสิ่งต่างๆ ที่น่าทึ่งน่ามหัศ- จรรย์มากมาย อยู่ในห้องของจิตวิญญาณของเรา ซึ่งทรัพย์สมบัติในโลกนี้ไม่สามารถจะเทียบเท่าได้ไม่มีอะไรในโลกที่จะทำให้เรามีความสุขได้ เท่ากับการที่เราได้ค้นพบความยิ่งใหญ่ที่แท้ จริงของเรา

ทุกๆ คนได้รับส่วนแบ่งของปัญญานี้

ยิ่งเราค้นพบว่าตัวเรามีความยิ่งใหญ่อย่างไร เราก็จะยิ่งถ่อมตัวมากขึ้น (อาจารย์หัวเราะ) เหมือนกับว่าเรื่องนี้มีความขัดแย้งอยู่ในตัว แต่เป็นเช่นนี้จริงๆ และเราจะกลายเป็นเหมือนเด็กๆ เราจะกลายเป็นบุคคลที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสามาก นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็คล้ายๆ กับคนที่ซื่อๆ บริสุทธิ์ และดูเหมือนว่าเธอบอกอะไรเขาไป ไม่ว่าจะเป็นความสามารถของเธอ ความทะเยอทะยานของเธอ ความฉลาดหลักแหลมของเธอ หรือปริญญาของเธอ เขาก็จะไม่คัดค้านอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเขาจะพยายามเอาปัญญาของเขามาบังคับกดดันเธอ แต่สิ่งต่างๆ จะเป็นไปเองโดยธรรมชาติหรือเมื่อได้รับการร้องขอ และส่วนใหญ่แล้วหลังจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์พูดอะไรออกมาแล้ว เขาก็จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดไปอย่างสิ้นเชิง อาจจะจำได้เพียงประโยคหนึ่งหรือสองประโยคหรือจำไม่ได้เลย ทั้งนี้เพราะ ว่าปัญญานั้นมาจากแหล่งของจักรวาลซึ่งทุกๆ คนสามารถจะนำมาใช้ได้ มันไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มคนกลุ่มใด มันเป็นของผู้โง่เขลาเท่าๆ กับเป็นของผู้รู้แจ้ง เป็นของเด็กๆ เท่าๆ กับเป็นของผู้สูงอายุ ทุกคนมีส่วนแบ่งรวมอยู่ในปัญญานี้ เพียงแต่ว่าเราจำเป็นต้องปรารถนาที่จะรู้ถึงปัญญานี้อย่างแท้จริงเท่านั้น
เมื่อได้รู้ถึงปัญญานี้แล้ว เราก็ไม่ได้ละทิ้งโลก เราจะไม่ขาดความสนุกสนานของทางโลก แต่เรากลับจะมีความสุขกับโลกนี้มากขึ้นเมื่อมีโอกาส และถึงแม้จะไม่มีโอกาสเราก็มีความสุขเหมือนๆ กัน นี่แหละคือความแตกต่างมันแตกต่างกันเพียงเท่านี้ แต่เพราะว่าเราไม่รู้จักธรรมชาติที่รู้แจ้งของเรา เราก็คอยใฝ่หาอะไรบาง อย่างที่จะทำให้เรามีความสุข หรือเรามัวแต่คิดว่าสิ่งนั้นจะทำให้เราสุข ดังนั้นบางครั้งเราจึงมีความทะเยอทะ ยาน แสวงหาชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ ความสวยงามและความรักอันไม่จีรังยั่งยืน ฯลฯ โดยคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสุข จนในที่สุดเราก็ตระหนักแน่ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ได้แต่นำความเศร้าโศกมาให้เราเป็นส่วนใหญ่
ต่อเมื่อเรารู้แจ้งเท่านั้น เราจึงจะมีความสุขในทุกๆ สิ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็ยินดี ถ้ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น เราก็รับไว้เหมือนกับเป็นของขวัญจากพระเจ้า เราจะยินดีเต็มที่โดยไม่รู้สึกมีความผิด ไม่ต้องสงวนท่าที ไม่มีอะไรมาขวางกั้นไม่ว่าจะภายในหัวใจหรือในความคิดของเรา ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของบุคคลผู้รู้แจ้งนั้นเป็นอิสระมากไร้ซึ่งความกังวล ง่ายๆ เหมือนกับเด็กๆ ถ้าเธอให้อะไรดีๆ แก่เขา เขาก็จะรับไว้ เขาจะไม่คิดกังวลว่าเธอจะมาหลอกเขา หรือกังวลว่าเขาควรจะได้รับสิ่งนั้นหรือไม่ เขาเพียงแต่รับมันไว้เท่านั้น และเมื่อสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้เรามีความสะดวกสบายหรือมีความร่ำรวยในชีวิต เราก็ยังมีความสุขและดำเนินชีวิตแบบนั้นต่อไปได้ เราจะไม่ปรารถนาความยิ่งใหญ่ทางวัตถุ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พยายามทำอะไรให้สังคมเลย หรือไม่ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองของโลกอย่างดีที่สุด เรายังคงทำและทำทุกสิ่งทุกอย่างเช่นเดิม เราจะทำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเต็มใจทำส่วนของเราให้แก่โลกทั้งโลกอย่างเต็มที่ สิ่งทีต่างไปก็คือเราทำโดยไม่หวังรางวัลตอบแทน ไม่หวังในคำสรรเสริญ และถ้าเราล้มเหลวหรือมีคนเข้าใจผิดในความปรารถนาดีของเรา เราก็ทนได้ เราจะไม่มีความทุกข์ทรมานในหัวใจของเรา
ลูกศิษย์ของฉันหลายคน ฉันหมายถึงเพื่อนบำเพ็ญของเราหลายคน เล่าให้ฉันฟังว่าหลังจากรู้แจ้งแล้ว พวกเขาแตกต่างไปจากเดิมมากพวกเขารู้มากกว่าแต่ก่อน เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนและต่างไปจากสภาพที่เขาเคยเป็นอยู่ ฉันเองนั้นลืมไปแล้วว่าก่อนการรู้แจ้งและหลังการรู้แจ้งนั้นเป็นอย่างไรบางครั้งฉันรู้สึกว่ายากที่จะเข้าใจเรื่องที่พวกเขาพูดกัน (อาจารย์หัวเราะ)แต่แล้วฉันก็มีโอกาสเจอ และได้พูดคุยหรือได้อยู่ร่วมกับคนที่ไม่ได้รับการประทับจิต ถึงตอนนั้นฉันก็เลยเข้าใจเรื่องที่พวกเขาพูดกับฉัน จึงรู้ว่าผู้ที่รู้แจ้งและไม่รู้แจ้งนั้นต่างกันอย่างไร ที่พูดนี้ไม่ได้แบ่งแยกนะ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ เพียงแต่เป็นการอธิบายว่าความจริงเป็นอย่างไรเพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่เอามาพูดกันด้วยความภาคภูมิใจ เป็นเพียงการตระหนักรู้ถึงความแตกต่าง ระหว่างคนที่ก้าวเข้ามาในตัวบ้านและคนที่อยู่นอกบ้าน

หนทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสุภาพบุรุษก็คือการรู้แจ้ง

ถ้าฉันไม่ได้มีโอกาสรู้จัก และเข้าใจกลุ่มคนที่มิได้รับการประทับจิตอย่างลึกซึ้งแท้จริง ฉันก็คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะปกติฉันมองทุกคนเหมือนกับเป็นตัวฉันเอง ฉันไม่ได้นึกว่าฉันรู้แจ้งหรือพวกเขาไม่รู้แจ้ง ฉันไม่ได้มาคอยจดจำเรื่องเหล่านี้เวลาฉันพบปะกับผู้คน และ นี่แหละคือเหตุผลที่บางครั้งนอกจากฉันจะรู้สึกท้อแท้ในการทำงานแล้ว ฉันยังรู้สึกอยู่ในใจว่าไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวสอนใคร ไม่จำเป็นต้องคอยวิ่งไปทั่วโลก ไม่จำเป็น ต้องตอบรับคำเชิญของลูกศิษย์ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก และต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับการอยู่บนเครื่องบิน เครื่อง บินที่มีการสูบบุหรี่ สนามบินที่มีคนเยอะแยะอะไรพวกนี้และยังมีกำหนดการวุ่นวาย ต้องทำโน่นทำนี่มากมายเพราะฉันเคยคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องพวกนี้ แต่พอฉันคิดทำนองนี้ บางครั้งพระเจ้าผู้ทรงอำนาจก็จะเตือนฉันว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น เพราะว่ามันมีความแตกต่างอย่างมาก ระหว่างการที่เธอรู้ว่าเธอมีสมบัติและสามารถใช้มันได้ กับเพียงแค่รู้ว่าเธอมีทรัพย์สมบัติแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนและจะใช้มันอย่างไร เป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นฉันจึงยังเดินทางไปทั่วโลกตามคำขอร้องที่จริงใจของบรร ดาลูกศิษย์ ทั้งนี้ก็เพราะตัวอย่างต่างๆ เหล่านี้ซึ่งทำให้ฉันทราบว่า บางคนยังไม่รู้ว่าตนเองยิ่งใหญ่และเขาเฝ้าคอยที่จะรู้
ไม่ใช่เพราะเราจะต้องการมีความภาคภูมิใจในความยิ่ง ใหญ่ของเรา แต่มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะรู้จักมรดกของเรา เราไม่ควรจะเป็นเพียงแค่เกิดมาในโลกนี้ มาใช้ชีวิตอยู่สักไม่กี่สิบปี ซึ่งต้องวุ่นวายกับปัญหาของลูกและครอบครัว แล้วในที่สุดก็ "คาพุท" จบสิ้นไป (คนหัวเราะ) ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ชีวิตไม่มีอะไรเพิ่ม และยิ่งเลวร้ายกว่านั้นอีก เวลาที่จะต้องจากโลกนี้ไปเราก็ยังต้องทุกข์ทรมาน เราทุกข์เพราะการยึดติดกับสมาชิกในครอบครัวของเรา เราทรมานก็เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเรากำลังจะไปที่ไหน ทุกข์เพราะกลัวในสิ่งที่เรายังไม่รู้ และคนในครอบครัวทั้งหมด หรือคนที่เรารักทั้งหลาย ก็ได้แต่ยืนอยู่รอบๆ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ได้แต่มองดูเราทุกข์ทรมาน
เพราะฉะนั้น หนทางอันยิ่งใหญ่ของสุภาพบุรุษก็คือการรู้แจ้ง เราต้องรู้ว่าเรามาจากไหนและเรากำลังจะไปไหนอย่างชัดแจ้งชัดเจน เพราะว่าเราคือมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เราใช้ชีวิตอย่างวีรบุรุษ เราดำเนินชีวิตแบบพระเจ้าบนโลกนี้ เราไม่ควรจะมีชีวิตเหมือนกับทาสของเงินทองข้าวของ หรือความอยากได้โน่นได้นี่ ซึ่งโลกได้พยายามเอามาติดไว้ในหัวของเรา เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความอยาก ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความเกลียด เราเกิดมาจากความบริสุทธิ์และความงาม เราจึงควรต้องคงไว้ในสภาพนั้น นอกจากจะบริสุทธิ์แล้วเรายังควรต้องฉลาดมากขึ้น นี่แหละคือหนทางของสุภาพบุรุษ

สิ่งที่พระเยซูและพระพุทธเจ้าสามารถทำได้ เราก็ทำได้ด้วย

ถ้าเรานับถือพระเยซู บูชาพระพุทธเจ้า ถ้าเราอยากจะกราบไหว้บูชาบรรดานักปราชญ์แห่งเทือกเขา หิมาลัยโบราณ เราก็ควรจะรู้ไว้ว่าเราสามารถเป็นได้เหมือนพวกท่าน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยระหว่างตัวเรากับนักปราชญ์ ต่างกันเพียงเส้นผมแค่เส้นเดียว น้อยมาก (อาจารย์หัวเราะ) และเมื่อเราก้าวข้ามไปได้เราก็จะอยู่ในกลุ่มของบรรดานักบุญ และถ้าเราอยู่ข้างหลังห่างไปเพียงเส้นผมเส้นเดียว เราก็เป็นบุคคลผู้โง่เขลา เที่ยวก้มหัวให้แก่ความกดดันทุกอย่างของโลกนี้ กลัวทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคน และไม่รู้ว่าชีวิตของเราก่อนหน้านี้รวมทั้งหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แม้ว่าเรามีตาแต่เราก็เหมือนคนตาบอด เรามีหูแต่ก็เหมือนคนหูหนวก ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้ยินคำสอนจากสวรรค์ ไม่ได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้รับรู้ความยิ่งใหญ่ของเรา เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากถ้าชีวิตของเรายังเป็นอยู่อย่างนั้น
เราอยากจะช่วยโลกเหลือเกิน อยากจะนำสันติ ภาพมาสู่โลก ทำให้โลกกลายเป็นสวรรค์ แต่เราจะทำได้อย่างไรถ้าเราไม่มีปัญญา จะทำได้อย่างไรถ้าเรายังไม่อยู่เหนือเกณฑ์เฉลี่ย เราจะไม่ให้หัวของเราเปียกได้อย่างไรถ้าเราไม่อยู่เหนือน้ำ ดังนั้น การรู้แจ้งจึงเป็นเครื่องมือสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้และชีวิตหน้า เราจะเดิน ทางท่องไปได้กว้างไกลในกาแล็กซี่ของจักรวาล ถ้าเรารู้สิ่งต่างๆ ซึ่งแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดในโลกก็ยังไม่รู้ นี่แหละคือความสามารถของมนุษย์ มนุษย์ที่แท้จริงไม่ใช่เป็นแค่เนื้อและกระดูกเท่านั้น สิ่งที่สา มารถเคลื่อนย้ายภูเขาได้หรือทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ได้นั้น มิ ใช่ลักษณะภายนอกที่ดูสวยงามหรือมีเสน่ห์ แต่เป็นแหล่งปัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงพลานุภาพนั่นเอง สิ่งที่พระเยซูได้ทำไปแล้ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าเคยแสดงให้เราดูตอนที่ท่านยังอยู่ในโลกนั้น เป็นเพียงแค่เรื่องตลกเพราะสิ่งที่พระเยซูทำได้หรือที่พระพุทธเจ้าทำได้จริงๆ นั้นเหนือกว่าสิ่งนั้นทั้งหมด มันมีความยิ่งใหญ่กว่านั้นเป็นพันล้าน หมื่นล้านเท่าและเราก็สามารถทำได้
นี่แหละคือสิ่งที่ฉันได้ค้นพบและต้องการจะเตือนให้เธอจำได้ ในขณะที่เราสวดอธิษฐานเราก็มุ่งความสนใจของเราเข้าสู่ภายใน ไม่สนใจความสะดวกสบายหรือข้าวของทางวัตถุมากนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทิ้งสิ่งเหล่านี้ เรายังคงอยู่ในบ้านหลังเดิม กินอาหารที่เราสามารถหามาได้ สวมเสื้อผ้าที่เราคิดว่าเหมาะสมแก่โอกาส แต่ความสนใจของเราไม่ได้อยู่ที่สิ่งเหล่านี้อีกต่อไป นี่แหละคือสิ่งสำคัญ ไม่ใช่ว่าสิ่งต่างๆ ทั้งหลายเป็นตัวขัดขวางความเป็นนักบุญของเรา แต่ความสนใจของเรานั่นแหละที่เป็นตัวกีดขวาง ดังนั้น เราจึงควรจะหันความสนใจเข้าสู่ภายใน แล้วเราก็จะรู้ทุกอย่างที่พระเยซูรู้ พระพุทธเจ้ารู้ และบรรดานักปราชญ์ทุกคนทั้งในอดีตและอนาคตรู้ เพราะธรรมชาติของเราเป็นอย่างนั้น
ก็เหมือนเธอเอาเพชรใส่ไว้ในกระเป๋าของเธอ ถ้าเธอเที่ยวมองหาไปทั่ว หรือแม้แต่เที่ยวมองหาไปทั่วโลกเธอก็ไม่มีวันพบมัน ไม่ใช่เฉพาะแต่มองหาที่บ้านของเธอเท่านั้น ต่อให้มองหาไปทั่วโลกเธอก็ไม่มีวันพบเพชรนั้น เพราะเธอไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน (อาจารย์หัวเราะ) ทั้งๆ ที่ตลอดเวลามันอยู่ในกระเป๋าของเธอ โลกไม่ควรจะอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ถ้าพวกเราทุกคนรู้แจ้ง หรืออย่างน้อยสักครึ่งหนึ่งของพวกเรารู้แจ้ง แต่จะยิ่งดีขึ้นถ้าพวกเราส่วนใหญ่รู้แจ้ง ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องสันติภาพ สันติภาพจะมาเอง ไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไรเพราะว่าเรามีปัญญาแล้ว "ปัญญาคือพระเจ้า พระเจ้าคือชุมพาบาลของฉัน ฉันจะไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว" พระเจ้าอยู่ภายในตัวของเรา สิ่งนี้ก็คือพลังอันทรงอานุภาพซึ่งหลับอยู่ข้างใน และเราสามารถจะปลุกให้มันตื่นขึ้นเมื่อใดก็ได้และก็ใช้ประโยชน์จากมันได้ อย่างน้อยก็เพื่อความพอใจของเรา

การรู้แจ้งนำความสุขมาสู่ชีวิต


ผู้ที่รู้แจ้งแล้วไม่เคยรู้จักการไม่พอใจ ไม่รู้จักความอยาก ไม่รู้จักการไม่มีความสุข อย่างน้อยก็เป็นอยู่ไม่นาน บางทีอาจจะเป็นในตอนเริ่มต้นบำเพ็ญใหม่ๆ ถ้าเรายังไม่ค่อยมั่นคงนักในอุปนิสัยของเรา สมองอาจจะยังเอาชนะได้อยู่ ดังนั้นบางครั้งเราอาจจะคิดอยากได้โน่นอยากได้นี่ แต่เราก็รู้ถึงความผิดพลาดของเราในทันที ไม่เหมือนกับสมัยก่อนที่จะรู้แจ้ง เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีความอยาก จึงไม่มีทางที่จะหยุดยั้งมันได้ ดังนั้น ความแตกต่างจึงเห็นได้ชัดเจนมาก
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉันพูดให้เธอฟังจากประสบการณ์ของฉันแต่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากรู้แจ้งแล้วเธอจะนั่งขัดสมาธิสวยงามอยู่บนโซฟาที่ไหนสักแห่งหนึ่ง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นสวรรค์ไม่ใช่อย่างนั้น เรายังจำเป็นต้องมีการให้และรับกรรมตามกฎของสาเหตุและการชดใช้การกระทำนั้นในขณะ ที่เรายังคงอยู่ในโลก แต่เราจะมีพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังเรา ไม่ว่าจะเกิดพายุฝนหรือใต้ฝุ่น เราก็จะมั่นคงปลอดภัยและได้รับความพอใจ เพราะเราทราบดีว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตนิรันดร์ อาจจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา แต่ไม่มีผลต่อตัวตนที่แท้จริงของเรา ถ้าเราต้องการร่างกายอีกร่างหนึ่งเราก็สร้างขึ้นมาใหม่ได้ นี่แหละคือความรู้สึกที่มั่นคงมากๆ ของผู้รู้แจ้ง คนที่รู้แจ้งจะทำสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่ากำลังทำอะไรเลย ถึงแม้ว่าทางด้านวัตถุภายนอกเขาได้ให้สิ่งต่างๆ ออกไปมากมายแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขาคือผู้ให้ เขาทนสิ่งต่างๆ มากมายแต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขากำลังอดทนอยู่ เขาอาจจะแสดงอารมณ์ของเขาออกมาเป็นบางโอกาสแต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันผิด เพราะมันเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ดังนั้น หนทางของบุคคลผู้รู้แจ้งก็คือ อิสรภาพ คือความสุข และปัญญา นี่แหละคือชีวิตซึ่งพวกเราทุกคนควรจะจำได้เพราะว่านี่คือตัวตนจริงๆ ของเรา ไม่ใช่ชีวิตที่เราคิดว่าเป็นอย่างในปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยความกังวลในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง กังวลเรื่องค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ไม่ว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ทำให้เราเกิดความวุ่นวายได้ หลังจากเรารู้แจ้งเราก็ยังคงมีใบเสร็จเหล่านี้มาอยู่ดี (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ไม่ต้องสงสัยเลย พระเจ้าจะไม่เอามันไปจากเราเพราะว่ามันเป็นของเรา (อาจารย์หัวเราะ) แต่ทัศนคติและวิธีการเอาชนะสิ่งเหล่านี้จะแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง เราจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายมีวิธีการที่ง่ายขึ้นในการจัดการกับข้อเรียกร้องต่างๆ จากรอบด้าน ถ้าเราแสวงหาปัญญาของเราอย่างแท้จริงฉันก็ให้สัญญาในเรื่องนี้ได้ เพราะฉันได้เรียนรู้เรื่องนี้มาแล้วด้วยตัวฉันเอง ไม่ได้เรียนจากหนังสือหรือจากครูคนไหน แต่มาจากประสบการณ์ของตัวฉันเอง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ฉันเล่าให้เธอฟังนี่เป็นความจริงอย่างยิ่ง เป็นเรื่องส่วนตัวและไม่มีการคิดเงินเพราะ ว่ามันมาจากฉัน ฉันไม่ได้ยืมมาจากธนาคารจึงไม่จำเป็น ต้องมีดอกเบี้ย (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แล้วเธอก็จะได้ตระหนักในเรื่องเหล่านี้และเรื่องอื่นๆ อีกด้วยตัวของเธอเอง ขึ้นอยู่กับว่าเธอต้องการมากขนาดไหน เธอสามารถทำงานได้แค่ไหน และขึ้นกับพี่น้องร่วมจักรวาลของเธอเห็นว่าเหมาะที่จะมอบให้เธอหรือไม่ ขึ้นกับภารกิจในชีวิตของเธอ และตำแหน่งที่เธอมีอยู่ในโลกนี้ ในบางครั้ง เมื่อผู้ที่เป็นอาจารย์ได้ขึ้นมาถึงระดับของความเป็นอาจารย์พวกเขาเหล่านั้นก็เท่าเทียมกัน แม้กระนั้นก็ตาม เธอก็ยังคงเห็นความแตกต่างระหว่างอาจารย์ท่านหนึ่งกับอีกท่านหนึ่ง เธอจะสามารถเห็นความแตกต่างได้จากการสอนหรือการบรรยายของท่านจากความก้าวหน้าของลูกศิษย์ท่านหรือจากวิธีการที่ท่านอธิบายความเข้าใจเกี่ยวกับการตระหนักรู้ภายใน
เพราะฉะนั้น แม้แต่อาจารย์ด้วยกันเองก็ยังมีความแตก ต่างเล็กๆ น้อยๆ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีคุณสมบัติแตกต่างกัน แต่เกิดจากมีพื้นฐานต่างกันหรือตำแหน่งต่างกัน ถ้าอาจารย์ท่านหนึ่งสามารถนำสิ่งต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้มากท่านก็มีอยู่มาก ท่านสามารถดึงสิ่งต่างๆ จากภายในมาให้คนอื่นได้จำนวนมาก ในขณะที่อาจารย์อีกท่านหนึ่งอาจจะอยู่ในสภาพ แวดล้อมที่ต่างไปในยุคสมัยต่างไป ประเทศก็ต่างไป จึงจำเป็นต้องใช้คุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่น การพูดการอธิบายน้อยกว่าหรือมากกว่าท่านอื่นๆ ดังนั้น เราจึงมีคำสอนทางด้านศาสนาอยู่มากมายมีชื่อเรียกแตกต่างกัน หรืออยู่ในศาสนาต่างกันแต่ก็ชี้ไปยังสัจธรรมอันเดียวกัน

หลังจากการรู้แจ้งเราจะทราบเรื่องนี้อย่างแน่ชัดเราจะรู้ว่าหลักการสำคัญของทุกศาสนาคือสิ่งเดียวกัน เราจะรู้ว่าพวกท่านสอนอะไรในขณะที่พวกท่านสอนอะไรในขณะที่พวกท่านยังมีชีวิต หมายถึงศาสดาทั้งหลาย เราจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าและพระเยซูก็สอนธรรมวิถีกวนอิมเราจะทราบว่าสิ่งที่เล่าจื๊อกล่าวไว้ในเต๋าเต็กเก็งก็เกี่ยวกับธรรมวิถีกวนอิม เกี่ยวกับแสงและเสียงแห่งสวรรค์ ซึ่งช่วยยกพวกเราขึ้นเหนืออุดมคติทางโลก เหนือเรื่องจุกจิกต่างๆ ของสมองคอมพิวเตอร์ของเรา เพื่อให้เราได้พบกับระดับจิตที่สูงขึ้น แล้วเราก็จะรู้จักตัวเราเอง เราจะรู้จักพระเจ้า วันนี้ฉันมีความสุขมาก ฉันไม่ทราบว่าสิ่งที่ฉันพูดไปนี้จะเหมาะกับพวกเธอหรือเปล่า ฉันเอาแต่พูดๆๆ (อาจารย์หัวเราะและผู้ฟังปรบมือ) ฉันคิดว่าฉันควรจะหยุดพูดก่อนเธอจะได้ถามคำถามและฉันจะได้มีโอกาสอธิบายเพิ่มเติมได้ โอเคไหม? เอานะ? ขอบคุณมาก (คนปรบมือ)

ตอบคำถาม

ถาม: พระเยซูไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ท่านมีพลังที่จะติดต่อมาถึงคนที่มีความเชื่อในตัวท่านในขณะนี้ได้หรือไม่ เราสามารถมีอาจารย์สองคนในเวลาเดียวกันได้หรือไม่? คืออาจารย์ท่านหนึ่งอาจจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่อีกท่านหนึ่งยังคงอยู่ในโลกนี้แต่จะจากโลกนี้ไปในอนาคต
ตอบ: ได้ เรามีได้ ผู้ที่ได้พบกับบุคคลที่เป็นอาจารย์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ และในเวลาเดียวกันก็เป็นอาจารย์ภายในด้วยเป็นผู้ที่โชคดีมาก แต่ในขณะที่เธอพบกับอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่เธอก็ยังสามารถพบกับอาจารย์ที่จากไปแล้วได้ด้วย ถ้าเธอขึ้นไปถึงระดับที่พระเยซูอยู่ในตอนนี้เธอก็จะสามารถเห็นพระองค์ ลูกศิษย์ของเราหลายคนเห็นพระเยซู และหลายคนก็เห็นพระพุทธ เจ้า เป็นอย่างนั้นใช่ไหม? มีใครที่เป็นลูกศิษย์อยู่ที่นี่บ้างไหม...? จริงหรือเปล่า? จริงไหม? (เพื่อนบำเพ็ญตอบว่า: ใช่) โอ เขาตอบว่า"ใช่" อย่างไรก็ตาม บางครั้งชาวพุทธอาจจะเห็นพระเยซูหรือพระแม่มารี และบางครั้งชาวคริสต์ก็อาจเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระโมฮัมเหม็ดก็ได้
ถาม: ฉันจะกดความทะเยอทะยานของฉันซึ่งจะทำให้ฉันเกิดภาวะครอบงำจิตใจของฉันและรบกวนฉันอย่างมากนี้ได้อย่าง ไร?
ตอบ: เป็นเพราะเรายังไม่รู้แจ้งและธรรมชาติแห่งความทะเยอ ทะยานของเรานั้น อันที่จริงมันก็กระตุ้นให้มุ่งสู่การรู้แจ้งไม่มีอะไรอย่างอื่น ไม่ใช่ธรรมชาติซึ่งมีระดับต่ำๆ เพราะเรารู้อยู่ในจิตใต้สำนึกว่าเรายิ่งใหญ่กว่านี้ เราเคยเป็น "ประธานาธิบดีของจักรวาล" ดังนั้น จึงเป็นการยากที่จะคงตัวอยู่ในระดับต่ำๆ ในขณะที่เราอยู่บนโลกนี้เราจึงมีความโลภ มีความทะเยอ ทะยาน ดังนั้นหลังจากการรู้แจ้งแล้วเธอจะรู้วิธีจัดการกับความทะเยอ ทะยานของเธอ เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเธอและโลกนี้ ความทะเยอทะยานไม่ใช่สิ่งที่เลวอะไร ปัญหาก็คือวิธีการจัดการกับมัน ถ้าเราจัดการมันได้อย่างฉลาด จัดการด้วยปัญญามันก็จะเป็นประโยชน์มาก
ถาม: ความสุขคืออะไรและจะอยู่ได้นานแค่ไหน?
ตอบ: (อาจารย์หัวเราะ) พวกเธอทุกคนก็ทราบดีว่าความสุขทางโลกนี้เป็นอนิจจัง มันจะคงอยู่นานแค่ไหนขึ้นอยู่กับบุคคลและสภาพแวดล้อม ความสุขที่แท้จริงซึ่งได้มาจากธรรมชาติที่แท้จริงของเรานั้นจะคงอยู่ตลอดไป นี่แหละคือสิ่งที่เราอยากจะแนะนำให้กับเธอเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเธอแล้ว

ธรรมวิถีกวนอิมนำเราไปสู่ต้นตอของสิ่งต่างๆ ทั้งมวล

ถาม: ขั้นตอนการรู้แจ้งเป็นอย่างไร เทคนิคนี้สามารถนำเราไปสู่การรู้แจ้งระดับไหน?
ตอบ: มันจะนำเธอไปสู่ต้นตอของสิ่งต่างๆ ทั้งมวล เป็นที่ซึ่งเธอจากมาและเป็นที่ซึ่งทุกๆ สิ่งจะกลับไป ระหว่างระดับชั้นของโลกนี้มีระดับของจิตหรือระดับของความเป็นอยู่ทั้งหมด 5 ระดับ ถ้าเราได้ฝึกปฏิบัติวิธีแห่งแสงและเสียงจากสวรรค์ และได้รับการนำทางจากครูที่มีประสบการณ์มาแล้ว สามารถผ่านระดับชั้นที่ 5 นี้ไปได้เราก็จะไปถึงที่นั่นซึ่งเป็นบ้านของมหาอาจารย์ทั้งมวล อาจารย์ทุกท่านลงมาจากระดับนี้และเมื่อเสร็จภารกิจท่านก็กลับไปที่นั่น ในอนาคตเราก็จะลงมาช่วยสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถ้าหากเราปรารถนาที่จะกลับมายังโลกนี้ใหม่หรือโลกอื่นๆ ในจักรวาลก็ได้ ดังนั้น ขั้นแรกก็คือรับการประทับจิตแล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาเอง
ถาม: การไปหาพระเจ้านั้นมีอยู่หนทางเดียวก็คือรับการประทับจิตในแสงและเสียงใช่ไหม?
ตอบ: ใช่ นั่นคือการเดินทางช่วงสุดท้ายเธอยังคงมีหนทางอื่นอีกมาก แต่ถ้าเธอไปไม่ถึงที่นั่นเธอก็จะไม่ได้อยู่ที่นั่น ก็เหมือนกับประตูบ้าน ไม่ว่าเธอจะเดินทางจากถนนสายไหนถ้าเธอไม่ได้ผ่านประตูนั้น เธอก็เข้าไปในบ้านไม่ได้ใช่ไหม?เพราะฉะนั้น เราเริ่มต้นจากจุดนี้เลยเพราะว่าเราโชคดีมากกว่าคนอื่น
ถาม: การประทับจิตมีมากกว่าหนึ่งแบบใช่ไหม?
ตอบ: ไม่ใช่ๆ ภายนอกมีแบบเดียวแต่ภายในมีหลายแบบขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น ในเวลาที่มีการประทับจิตผู้ที่เป็นอาจารย์หรือตัวแทนของอาจารย์จะให้คำแนะนำเหมือนๆกัน แต่การประทับจิตไม่ได้มาจากคำแนะนำเหล่านี้ การประทับจิตมาจากภายในจากการตื่นขึ้นของธรรมชาติของเธอเอง แต่ถึงกระนั้นระดับชั้นก็ยังมีความแตกต่างกัน เพราะฉะ นั้นคนสองคนที่นั่งอยู่ในที่เดียวกัน หรือนั่งติดกันก็อาจจะมีระดับชั้นต่างกันอย่างมากมายได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นอาจารย์จะสอนแต่ละคนแตกต่างกัน โดยสอนจากภายในและมีแต่เพียงบุคคลนั้นเท่านั้นที่ทราบ เขาจะรู้อยู่ภายในว่าอาจารย์สอนอะไรเขาและประสบการณ์ของเขาจะต่างไปจากภรรยาของเขา หรือลูก สามี พี่ชาย ฯลฯ เพราะฉะนั้น ถ้าเธออยากจะเรียกว่าเป็นการประทับจิตหลายแบบต่างกันก็ได้ถ้าเธอต้องการ แต่ฉันจะใช้คำว่า 'มันเป็นการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องไปของแต่ละคนที่แตกต่างกัน'
ถาม: ท่านอาจารย์ชิงไห่มีบางเวลาที่ฉันปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไม่มีตัวตนอยู่ กรุณาออกความเห็นในเรื่องนี้ด้วยถ้าท่านมีความเห็นอะไร
ตอบ: โอ ฉันก็เป็นแบบนั้น (อาจารย์หัวเราะ) ฉันก็อยากจะไม่มีตัวตนฉันจะได้ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องเป็น "อาจารย์" ผู้ยิ่งใหญ่อะไรต่างๆ พวกนี้ แต่เนื่องจากเราเป็นของเราแบบนี้เราก็อยู่ต่อไป อยู่และดูซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเวลาเดียวกันเราก็ได้รับการรู้แจ้งไปด้วยเพื่อเราจะได้อยู่ในระดับที่มีตัวตนและระดับที่ไม่มีตัวตนไปพร้อมๆ กัน แต่ระดับที่ไม่มีตัวตนนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นความว่างเปล่านะ ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลยแต่เป็นชีวิตที่พร้อมมูลเต็มไปด้วยความสุกใส รุ่งโรจน์ ความสุข และพลังแห่งการสร้างสรรค์ เราจะมีความสุขกับชีวิตแบบนั้นมากกว่าชีวิตที่มีความเป็นอยู่ซึ่งเราเรียกว่าชีวิตมนุษย์นี้แต่เราอาจจะมีได้ทั้ง 2 อย่างในเวลาเดียวกันเป็นสิ่งที่วิเศษมาก วิเศษจริงๆ
ถาม: ลูกๆ ของฉันมีความสำคัญต่อฉันมาก หลังจากประทับจิตแล้วฉันยังคงรักเขาอยู่ได้หรือเปล่า? และไม่ใช่เพียงแค่อยู่ร่วมกับเขาเฉยๆ เท่านั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้างในแง่นี้?
ตอบ: โอ พระเจ้าช่วย (คนหัวเราะ) เธอกลายเป็นเด็กไปเสียแล้วลูกศิษย์ของฉันเขาทิ้งลูกๆ กันหรือ? เขาจัดการกับลูกๆ อย่างไรกัน? เธอจัดการกับลูกๆ อย่างไรหลังจากประทับจิต? เธอรักเขาได้หรือเปล่า? (ผู้ฟัง: รักเขามากยิ่งขึ้นอีก) เขาตอบว่าเขารักลูกมากกว่าแต่ก่อนอีก เพราะฉะนั้นเอก็จะปลอดภัยแน่! โอเคไหม? เก็บรักษาลูกๆ ของเธอไว้ไม่ต้องกังวล แน่ไม่อยากได้หรอก (อาจารย์หัวเราะและผู้ฟังปรบมือ)
ถาม: ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนทางจิตวิญญาณ (soulmate) หรือเปล่า? ถ้ามีจะมีความหมายสำคัญทางจิตวิญญาณอย่างไรสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?
ตอบ: เพื่อนทางจิตวิญญาณคือบุคคลซึ่งเมื่อเธอพบ เธอก็รู้สึกมีแรงดึงดูดเข้าหากันและกัน และเธอทั้ง 2 คนจะช่วยเสริมชีวิตของกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนทางของการบำเพ็ญ นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าเพื่อนทางจิตวิญญาณ แต่ในโลกซึ่งมีแต่หนึ่งไม่มีสองนี้มันไม่มีวิญญาณหรือไม่มีเพื่อนอะไรหรอก เป็นเพียงแต่คำพูดของทางโลกเท่านั้น เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เธอรู้สึกว่าเป็นบุคคลที่น่าสนใจมากสำหรับเธอ และสามารถช่วย เหลือเธอได้มากในกิจกรรมชีวิตประจำวันรวมทั้งด้านการบำเพ็ญ ผู้นั้นก็คือเพื่อนทางจิตวิญญาณของเธอ...ในขณะที่เธอยังอยู่ที่นี่ถ้าเธอต้องการเพื่อนอยู่ เข้าใจไหม?

อาจารย์ที่แท้จริงจะปลุกตัวตนภายในที่แท้จริงของเธอให้ตื่นขึ้น

ถาม: เราจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นอาจารย์แท้หรืออาจารย์เทียม?
ตอบ: โอ! เรื่องนี้ฉันไม่รู้ ฉันยังไม่เคยพบอาจารย์เทียมฉันพบแต่อาจารย์ที่แท้จริง แท้หรือเทียมขึ้นอยู่กับตัวเธอ มีอยู่หลายวิธีที่จะรู้ว่าเป็นอาจารย์ที่แท้จริง เมื่อผู้ที่ได้ชื่อว่าอาจารย์ยึดติดอยู่กับเพียงบางส่วนของสัจธรรมและละทิ้งส่วนอื่นๆ ที่เหลือ และสอนลูกศิษย์เฉพาะส่วนนั้นเท่านั้นแบบนี้เราเรียกว่าอาจารย์เทียม แต่จริงๆ แล้วชื่อนี้ไม่ถูกต้องน่าจะเป็น "อาจารย์บางส่วน" มากกว่า หรือ "อาจารย์ไม่เต็มเวลา"(อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ไม่ใช่เทียม และเมื่อผู้ใดสอนสัจธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ภายในตัวของเธอ และปลุกสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของเธอให้ตื่นขึ้นนี่แหละคืออาจารย์ที่แท้จริง ธรรมชาติที่แท้จริงของเธอคืออะไร? อาจารย์ที่แท้จริงภายในตัวเธอคืออะไร ก็คือพระเจ้า เป็นจิตศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอาศัยอยู่ภายในโบสถ์ของเธอ ในวัดของเธอ (หมายถึงร่างกาย) และเมื่อพระเจ้านั้นแสดงตนออกมา เราจะสามารถได้ยินคำสอนของท่านโดยอาศัยดนตรีแห่งสวรรค์ เราสามารถเห็นท่านด้วยภาพโดยการเห็นแสงสว่างอันเจิดจ้า บางครั้งเหมือนดวงอาทิตย์เป็นพันๆ ดวง นั่นแหละคือธรรมชาติที่แท้จริงของเรา เมื่อมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าอาจารย์คนไหนสามารถปลุกปัญญาแห่งสวรรค์ แรงสั่น สะเทือนแห่งสวรรค์และแสงแห่งสวรรค์ซึ่งอยู่ภายในตัวเธอ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของเธอเป็นอาจารย์ของเธอเอง อาจารย์ผู้นั้นก็คืออาจารย์ที่แท้จริงเราจะต้องรู้เรื่องนี้ด้วยตัวเราเอง
ถาม: เกี่ยวกับข้อปฏิบัติห้าข้อ (ศีลห้า) ซึ่งจะต้องกระทำจึงจะได้รับการประทับจิตนั้น หากเราไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้น?
ตอบ: ถ้าเธอไม่ได้ปฏิบัติตามนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเธอไม่ได้ปฏิบัติฉันจะทำอะไรได้ ก็ลองพยายามดูใหม่ โอเค? ถ้าเธอคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวเธอ ดีสำหรับผู้อื่นและเป็นเหมือนเกราะป้องกันความบริสุทธิ์ของจิตวิญญาณของเรา เราก็ปฏิบัติไปตามนั้น โอเค และอย่าทำให้ความบริสุทธิ์ของเธอซึ่งเพิ่งจะเติบโตขึ้นมาได้รับความเสียหายแต่ถ้าเธอไม่ปฏิบัติก็ไม่มีใครมาประณามเธอหรือทำอะไรเธอ ยกเว้นแต่จิตสำนึกของตัวเธอเอง เพราะฉะนั้นก็ลองพยายามดำเนินชีวิตให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ และถ้าเธอพลาดก็ลุกขึ้นและพยายามใหม่
ถาม: วิธีที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดที่จะไปสู่การตระหนักรู้ในตนเอง และการตระหนักรู้ในพระเจ้าคือวิธีไหน?
ตอบ: วิธีนี้แหละ เขาไม่ได้เขียนไว้หรือ? "รู้แจ้งฉับพลัน" "ธรรมวิถีกวนอิม" นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด ง่ายที่สุด และเร็วที่สุด เธอจะรู้แจ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่มีข้อแม้ ในวันนี้หลังการบรรยายนี้เลย โอเค? และถ้าเธอไม่ได้รู้แจ้งทันทีก็ยินดีรับประกันเอาเงินคืนได้ (คนหัวเราะและปรบมือ) โอ แต่เดี๋ยวก่อน จริงๆ แล้วเราก็ไมมีการรับประกันคืนเงินหรอก เพราะเราไม่คิดเงินเลยแม้แต่เพนนีเดียว (คนหัวเราะและปรบมือ)
ถาม: เราจะป้องกันตัวเราจากความรุนแรงของธรรม ชาติ และความรุนแรงของมนุษย์ได้อย่างไร?
ตอบ: เราไม่จำเป็นต้องป้องกันตัวเราเลย เรามีอะไรที่น่าปกป้องนัก? ก่อนเธอจะเกิดมาเธอมีอะไร? หลังจากเธอตายไปแล้ว เธอจะเอาอะไรไปได้บ้าง? มีอะไรที่มีค่าเหลือเกินที่เราควรจะต้องปกป้องไว้หรือ? โยนทุกอย่างทิ้งไปให้หมด ปล่อยให้มันเป็นไปตามเรื่องจะมีอะไรเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิด ถ้าร่าง กายของเธอตายไปเน่าเปื่อยไป เธอก็ยังมีอีกหลายร่างหลายพันล้านร่างไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ถ้าของสิ่งใดควรจะต้องเป็นของเธอๆ จะไม่สามารถกำจัดมันด้วยซ้ำ ถ้าหญิงสาวคนนั้นควรจะต้องเป็นคู่หมั้นของเธอก็ไม่มีใครฉวยเธอเอาไปได้ ถ้างานนั้นจะต้องเป็นของเธอเป็นประกาศิตจากสวรรค์ก็ไม่มีใครมาแทนที่เธอได้ อย่าไปกังวลทำตัวตามสบายให้เรารู้แจ้งดีกว่า (คนปรบมือ) ความกลัวต่างๆ เหล่านี้ทำให้เราต้องอยู่ห่างจากชีวิตที่มีความสุขและชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความ รู้สึกผิดผิด ความขัดแย้ง การแสร้งทำทั้งหลายผุดขึ้นมาจากความกลัวของตัวตนนี้ ของตัวอัตตานี้ มันจะบอกว่าฉันมีสิ่งนี้ ฉันมีสิ่งนั้น ฉันเสียหน้าไม่ได้ ฉันทำสิ่งนั้นไม่ได้เพราะฉันอยู่ในตำแหน่งนี้ ฉันด่าคนไม่ได้เพราะว่าฉันเป็นอาจารย์ ฉันควรจะต้องทำตัวให้สง่างามพูดนุ่มๆ อ่อนโยน ฯลฯ ขอให้เหวี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปและทำตัวให้อยู่ในปัจจุบัน จำเป็นจะต้องทำอะไรตอนนั้นก็ทำอย่างเต็มที่ โดยมีความเชื่อมั่นในพระเจ้า มีความเชื่อในแผนการของจักรวาล เข้าใจไหม? (ผู้ฟัง: เข้าใจ) ถาม: ศาสนาคริสต์สอนเราว่าเราทุกคนเป็นบาป ถ้าเรารู้แจ้งแล้วเราจะยังเป็นคนบาปอยู่หรือไม่? ถ้ายังเป็น อยู่มันจะมีวันสิ้นสุดไหมการเป็นคนบาปของเรานี้น่ะ?
ตอบ: ใช่ เราเป็นคนบาปเพราะว่าเราเชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่มีวิธียกตัวเราเองขึ้นมาเหนือระดับของความบาป เหนือโคลนตม ถ้าเธออยู่ในโคลนแน่นอน เธอก็ต้องดูสกปรกไม่ใช่หรือ? ถ้าเธอขึ้นมาโคลนจะทำอะไรเธอได้ ไม่ว่าโคลนจะยังคงอยู่ที่เดิมหรือไม่ก็ตาม เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นเอต้องขึ้นมา ต้องรู้แจ้ง (คนปรบมือ)
ถาม: มนุษย์ที่รู้แจ้งแล้วและอยู่ในสังคมที่มีความขัด แย้งจะสามารถช่วยขจัดความขัดแย้งในสังคมได้อย่างไรกัน?
ตอบ: เป็นเรื่องที่ยากมาก เราทำได้เพียงแค่ขจัดความขัดแย้งภายในตัวเราออกไป ถ้าทุกคนทำเช่นนั้นก็จะไม่มีความขัดแย้งที่ต้องขจัด ดังนั้น แม้ว่าพระเยซูจะยิ่งใหญ่มาก พระพุทธเจ้าก็ทรงยิ่งใหญ่มาก แต่ท่านเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถขจัดความขัดแย้งในประเทศของท่านได้เลยและบางครั้งภัยพิบัติก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตของท่านด้วยซ้ำ เพราะว่าคนส่วนใหญ่ในโลกยังไม่อยู่ในความสงบสุข ยังไม่รู้แจ้ง ดังนั้น การรู้แจ้งจึงเป็นสิ่งเดียวที่จะใช้สำหรับความป่วยไข้ทุกชนิดของโลกนี้ สำหรับสงครามและความขัดแย้ง ไม่มีอะไรที่จะเป็นนอกเหนือจากนี้

ธรรมชาติที่แท้จริงไม่ได้อยู่กับสิ่งใด ฝุ่นไม่มีทางจะเกาะมันได้

ถาม: ฉันได้ยินหลายคนกล่าวว่า เมื่อท่านรู้แจ้งแล้ว ท่านควรจะต้องโกนผมและไม่แต่งหน้า (คนหัวเราะ) ท่านคิดอย่างไรกับคำกล่าวหรือคำวิจารณ์นี้?
ตอบ: พวกเธอคิดอย่างไรล่ะ ถูกต้องไหม? (ผู้ฟัง:ไม่ถูก) ไม่ถูก พวกเขาบอกว่าไม่ถูก (คนหัวเราะและปรบมือ) ฉันจะให้เธอได้เกรด A (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แจ๋วมาก เยี่ยมมาก ฉันชอบ เป็นสิ่งที่งดงามมากพวกเธอยังมีใจเปิดกว้างมาก รู้แจ้งมาก อย่างน้อยก็มากระดับหนึ่ง ถ้าความสนใจของเธอยังยึดติดอยู่กับสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ ไม่ว่ามันจะมีหรือไม่มีก็ตามเธอก็ขัดขวางตัวเธอเอง จริงไหม? ธรรมชาติของเธอไม่ได้ยึดอยู่กับสิ่งใด ไม่มีฝุ่นที่ไหนจะมาจับธรรมชาติของเธอได้ โอเค? ไม่มีเครื่องสำอางอะไรจะมาบดบังธรรมชาติแห่งพุทธะของเธอได้ ไม่มีลิปสติกที่ไหนจะมาทำให้แสงแห่งสวรรค์พร่ามัวได้ ถ้าเธอมีตาเธอจะเห็นว่าตอนนี้ฉันมีแสงเปล่งออกมา แม้ว่าฉันจะเอาถ่านทั้งกล่องมาทาหน้าของฉันทำให้ตัวฉันดำไป ฉันยังคงขาวและสว่างเจิดจ้า (คนปรบมือ)
เพราะฉะนั้นถ้าเธอโกนหัวของเธอๆ จะรู้แจ้งอย่างนั้นหรือ เป็นอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมเธอไม่ทำล่ะมันง่ายจะตายไป (คนหัวเราะ) เธอก็ทำแบบนั้นให้หมดทุกคนเลย สตีฟ! ผมของเธอยาวเกินไปสำหรับการรู้แจ้งแล้ว (คนหัวเราะและปรบมือ)พระเจ้าไม่สนหรอกว่าผมของเธอจะยาวหรือสั้น เหลวไหล (คนหัวเราะ) มิฉะนั้นแล้ว พวกนางงามจักรวาลทั้งหลายก็คงจะรู้แจ้งไม่ได้สิ อย่างนั้นหรือ? (อาจารย์หัวเราะ) ถ้าเราพูดแบบนั้นไป พวกร้านตัดผมทั้งหลาย ร้านเสริมสวยทั้งหลายก็ต้องปิดกิจการแน่ เราก็จะทำให้เกิดภาวะว่างงานมากยิ่งขึ้นไปใหญ่ (คนหัวเราะ) โอๆ ถ้าฉันเทศน์สอนแบบนั้นคุณคลินตันคงไม่มีความสุขแน่ (คนหัวเราะ) เขาคงไม่อนุญาตให้ฉันเข้ามาเทศน์สอนในอเมริกาแน่
ถาม: อัตตาเป็นพลังที่แข็งแรงมาก เราจะชนะอัตตาได้อย่างไร?
ตอบ: โดยการรู้แจ้ง อัตตาคือ การเอาความสนใจมายึดติดกับตัวตนที่เล็กๆ เช่น "โอ! ฉันเป็นหมอ ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ ฉันเป็นครู ฉันเป็นคนโน้นคนนี้ ซึ่งมีตำแหน่งสูงๆ" นั่นแหละคืออัตตา แต่เมื่อเรารู้จักตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อัตตาก็จะหลบหายไปข้างใน เพราะว่าเราไม่ได้เป็นแค่หมอ เราเป็นพระเจ้าหรืออย่างน้อยก็เป็นลูกๆ ของพระเจ้า เราเป็นพุทธะ โอเค? นี่แหละคือวิธีเดียวที่จะหลอมละลายอัตตาโดยใช้กรอบของตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
ถาม: แหล่งต้นตอของโลกนี้คืออะไร
ตอบ: อืมม (อาจารย์หัวเราะ) มันต้องใช้เวลาที่จะวิจัยเรื่องนี้ จริงไหม? ทำไมเธอไม่ใช้ชีวิตของวันนี้ ให้เรารู้แจ้งแล้วเราก็จะเห็นด้วยตัวเราเอง เพราะถ้าฉันบอกเธอจะต้องใช้เวลานานมาก เธอก็รู้ว่าโลกของเรานี้ถ้าพูดตามหลักภูมิศาสตร์ก็มีอายุเป็นหมื่นๆ ล้านปีแล้ว ถ้าเธออยากจะวิจัยเรื่องนี้ฉันคงไม่มีเวลาบรรยาย ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? แต่ความจริงที่เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโลกนั้นอยู่ภายในตัวเรา เรามีห้องสมุดอยู่ภายในถ้าเราขึ้นไปถึงระดับที่ 2 เธอก็จะดูมันได้ แล้วเธอก็จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เพียงแค่โลกนี้เท่านั้น แต่จะรู้เกี่ยวกับโลกอื่นๆ มากมายในจักรวาล
ถาม: ท่านอาจารย์ชิงไห่ ถ้าใครได้รับการประทับจิตจากท่านแล้ว ก็จะต้องเป็นลูกศิษย์ของท่านตลอดไปหรือไม่? งานของลูกศิษย์คืออะไร?
ตอบ: งานของลูกศิษย์ของเราก็คือการมาเป็นอาจารย์ (คนหัวเราะ) เพราะ ฉะนั้น เธอไม่จำเป็นต้องเป็นลูกศิษย์ของฉันด้วยซ้ำ เธอเองก็เป็นอาจารย์อยู่แล้วเพียงแต่เธอไม่รู้ ดังนั้น ฉันจึงบอกวิธีให้เธอจำตนเองได้อีกครั้งหนึ่งเท่านั้นแหละ จริงๆ แล้วไม่มีลูกศิษย์ คำนี้เป็นเพียงชื่อเรียกซึ่งเราใช้เรียกตัวเราในโลกแห่งวัตถุนี้
ถาม: ขอให้ท่านกรุณาอธิบายให้ฉันฟังว่าจิตใจคืออะไร?
ตอบ: จิตใจไม่ใช่อะไรเลย เป็นเพียงความคิดต่างๆ และข้อมูลที่เรารวบรวมไว้ในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อเราติดต่อสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ และเราเรียกสิ่งนั้นว่า "ตัวตน" หรือ "จิตใจ" แล้วเราก็เริ่มยึดติดกับสิ่งนั้นและพูดว่า "โอ! ฉันเป็นแบบนั้น ฉันแปรงฟันวันละ 3 หน นั่นแหละตัวฉัน" ฯลฯ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้คืออะไรกัน เป็นเพียงข้อมูลที่รวบรวมไว้เท่านั้น ก่อนที่เธอจะเกิดมาเธอไม่เคยแปรงฟันของเธอๆ ไม่มีฟัน (คนหัวเราะ) นั่นคือตัวอย่าง เธอเข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น จิตใจนี้ไม่มีอะไรเลย และเราคงจะไม่ฉลาดเลยถ้าจะมัวแต่ฟังสิ่งที่เรียกว่าจิตใจนี้ มันเป็นเพียงนิสัยที่รวบรวมไว้เป็นข้อมูลจากคนอื่นๆ จากสังคม และจากความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันทำให้เราคิดว่าเราเป็นแบบนั้น "โอ ฉันต้องกินนี่ ฉันต้องดื่มกาแฟเพราะว่านั่นคือตัวฉัน เป็นวิธีการของชีวิตของฉัน นี่แหละตัวฉัน" แต่ตัวฉันนั้นคือใคร? ใครดื่มกาแฟก่อนที่เธอจะเกิดมา? เมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนนี้ ยังไม่มีกาแฟเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเชื่อถือไม่ได้เป็นสิ่งไร้สาระมาก มันไม่ใช่ตัวเธอเอง แต่นี่แหละคือสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่เรียกว่า "ตัวฉัน" นี่แหละคือจิตใจ
ถาม: เมื่อท่านรู้แจ้งแล้ว ท่านอาจจะสูญเสียการสำนึกถึงการรู้แจ้งของท่านได้หรือไม่?
ตอบ: โอ ได้ เป็นไปได้ ใช่ เมื่อตอนเธอนอนหลับ บางครั้งเมื่อเธอนั่งสมาธิแล้วเธอก็นอนหลับและแสงก็มา การรู้แจ้งก็มาแต่เธอก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รับรู้มันแต่ตอนที่เธอไม่ได้นอนหลับเธอก็จะรู้ โอเค?
ถาม: เราจะหยิบยื่นสันติภาพให้แก่ผู้ที่เคยเป็นศัตรูของเราได้โดยเร็วอย่างไร?
ตอบ: ก็กอดเขา จูบเขา ให้ลูกอมแก่เขา (คนหัวเราะและปรบมือ) นี่แหละคือสิ่งที่ฉันทำเมื่อเช้านี้ เพราะบางคนไม่สามารถจะรู้แจ้งได้ด้วยคำพูด หรือการอธิบาย หรือแม้แต่การประทับจิต บางคนเพียงแต่ต้องการความรักโดยตรง ทั้งทางด้านร่างกาย ความคิด รวมทั้งอารมณ์ด้วย
ถาม: ฉันจะหนีจากเนื้อหนังของฉัน และหมดความต้องการเรื่องเพศตรงข้ามได้อย่างไร?
ตอบ: โอ! อย่าหนีมันไป (คนหัวเราะ) มิฉะนั้นแล้ว เราก็คงไม่มีลูกกันอีกต่อไป พยายามอดใจไว้ มีคู่เพียงคนเดียวเท่านั้น โอเค? ถ้าเธอมีกัลยาณมิตรซึ่งเธอพบว่าดีต่อตัวเธอ ความรักทั้ง 3 มิติ คือ ร่างกาย อารมณ์ และความคิดก็เป็นสิ่งที่ดี จากนั้นความต้องการทางเนื้อหนังจะค่อยๆ ลดความรุนแรงในตัวเธอลงไป หลังจากที่เราควบคุมสัมพันธภาพอันมั่นคงในชีวิตสมรสได้แล้ว เธอเข้าใจไหม? เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนั้นมันจะค่อยๆ ตายลงไป มันจะหมดเสน่ห์ลงเพียงแต่อดใจให้เย็นๆ ไว้ เพราะฉะนั้น มีคู่เพียงคนเดียวแค่นั้นก็พอแล้ว (คนปรบมือ)
ถาม: เราจะช่วยเหลือคนที่กำลังป่วยหนักอย่างดีที่สุดได้อย่างไร?
ตอบ: บางครั้งเราก็มีปัญหาได้ บางครั้งรถอาจจะไหม้ บาง ครั้งยางแตก บางครั้งตัวถังมีรอยขูดอะไรแบบนี้ เธอทำอย่างไรกับรถของเธอล่ะ ก็พยายามซ่อมแซมมันไปร่างกายก็เช่นเดียว กัน และถ้าหากรถนั้นซ่อมไม่ได้แล้วมันอาจจะต้องใช้เงินในการซ่อมแพงกว่าที่จะซื้อคันใหม่ ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อคันใหม่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ?ร่างกายของเราก็เช่นเดียวกัน อะไรที่เธอสามารถจัดการกับรถได้ รถคันนี้ หมายถึงร่างกายนี้ก็ทำไป ถ้าทำไม่ได้ก็ปล่อยมันไป และพระเจ้าก็จะให้รถคันใหม่แก่เธอส่วนใหญ่เอาแต่สนใจรถคันนี้กันมากเหลือเกิน และเขาก็เกิดมีการฆ่ากันเพื่อให้รอดชีวิตก็เพราะรถคันนี้ ทำสิ่งต่างๆ มากมาย ซึ่งค้านกับจิตสำนึกของเราก็เพราะรถคันนี้ ดังนั้นเราจึงต้องตระหนักให้ดีว่า มันเป็นเพียงแค่เครื่อง มือชิ้นหนึ่ง ก็เหมือนกับรถที่เธอซื้อนั่นแหละ
ถาม: ถ้าบุคคลหนึ่งมีความปรารถนาที่จะได้รับการหลุดพ้นหรือออกไปพ้นจากโลกทั้งสามนี้ ความปรารถนาแบบนี้ตากต่างจากความปรารถนาทั่วไปหรือไม่?
ตอบ: ถูกต้องมันแตกต่าง เพราะเมื่อมีความปรารถนานี้เพียงอย่างเดียวความปรารถนาอื่นๆ ทั้งหมดก็ตายไป มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะมีความต้องการหลายอย่างเกินไป เข้าใจไหม? แล้วเราก็จะมีปัญหา เพราะเราจะถูกดึงจากทิศทางต่างๆ คนละทิศ ในขณะที่ถ้าเรามีความปรารถนาที่จะมุ่งขึ้นไปสูงๆ เพียงอย่างเดียว เราก็จะถูกดึงขึ้นและเราก็จะมีความสุข เราจะได้ไปถึงธรรมชาติอันสูงส่งของเรา
ถาม: ความรักทำให้มัวเมาหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้นเราควรจะต้องงดเว้นจากมันหรือไม่ตามศีลข้อที่ 5?
ตอบ: โอ! ไม่ๆๆ! ความมัวเมานี้หมายถึงยาเสพติด แอลกอ ฮอล์และสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เธอเสพติดทำให้เธอกลายเป็นทาสและยังทำให้สายตาของเธอพร่ามัว ทำลายเซลล์สมองของเธอ ทำลายความสามารถในการคิด การเห็น และการกระทำที่แจ่มชัด พวกนี้คือยาเสพติดเป็นสิ่งที่ทำให้มัวเมา
ถาม: เราจะได้พลังงานจากการนั่งสมาธิโดยวิธีไหน?
ตอบ: วิธีซึ่งไม่ต้องออกแรง พลังงานจากการนั่งสมาธิมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว โดยอาศัยพลังที่เราได้รับเมื่อเราได้รับการประทับจิตจากอาจารย์ท่านหนึ่ง พลังนั้นก็ตื่นขึ้น ดังนั้น เรานั่งสมาธิด้วยวิธีการที่เราเรียกว่าธรรมวิถีกวนอิม ซึ่งไม่ใช่เป็นวิธีการอะไรเลย เราได้รับพลังงานโดยตรงโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นการกระทำซึ่งไม่ต้องออกแรง นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุด เป็นวิธีตามธรรมชาติ เพาะว่าเราได้รับในสิ่งที่เรามีอยู่ เราไม่ได้ยืมใครมา เราไม่ต้องพยายาม เราไม่ได้ขโมย เราไม่ได้บังคับให้มันเกิดขึ้นแต่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นก็เพราะมันมีอยู่แล้ว
ถาม: การรู้แจ้งมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พุทธะแบบเซ็น ใช่หรือไม่?
ตอบ: ใช่ ถ้าเธอต้องการชื่อนี้มากเหลือเกิน
ถาม: มีโอกาสเป็นไปได้ไหมที่มนุษย์ซึ่งรู้แจ้งเพียงไม่กี่คนบนโลกนี้ จะสามารถส่งผลกระทบทำให้คนจำนวนมากที่หลับอยู่หรือหลงทางไปได้ตื่นขึ้น?
ตอบ: ได้ๆ พวกเขาจะทำให้เกิดผลกระทบบางอย่าง ถูกต้อง แต่แน่นอนสิ่งที่ดีที่สุดก็คือคนส่วนใหญ่สามารถตื่นขึ้นมาได้

การรู้แจ้งฉับพลันภายหลังการประทับจิต

ถาม: โปรดกรุณาพูดถึงเรื่องกรรมหน่อย เราสลายหนี้กรรมของเราที่มีอยู่ก่อนได้อย่างไร และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการรู้แจ้งอย่างไร?
ตอบ: จะสลายหนี้ที่มีอยู่อย่างไรใช่ไหม? กรรมเป็นคำสันสกฤตซึ่งหมายถึงกฎที่ว่า "หว่านพืชอะไร ก็จะได้ผลอย่างนั้น" ซึ่งเป็นกฎของจักรวาลในระดับล่าง เมื่ออาจารย์ประทับจิตให้แก่เธอ ท่านก็ดึงเธอขึ้นมา ดังนั้น กรรมที่อยู่ข้างล่างก็จะถูกเผาไหม้ไปโดยไม่มีผลต่อตัวเธอ แต่ยังให้เธอมีกรรมเหลืออยู่นิดหน่อยเพื่อให้เธอดำเนินชีวิตต่อไปได้และชีวิตก็จะราบรื่น และได้รับการหล่อลื่นจากพลังของอาจารย์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ภายหลังการประทับจิตเธอก็ไม่มีกรรมสะสมอีกต่อไป เธอจึงไม่ต้องกลับมากเกิดใหม่ ก็เป็นเรื่องง่ายมากเราสามารถจะสร้างกรรมหรือสามารถยืมกรรมได้จากสรรพสัตว์อื่นๆ จำนวนมาก เพื่อจะได้ลงมาได้ ดังนั้น การประทับจิตจึงเป็นการทำลายกรรมทั้งหมดในอดีต จึงไม่มีโอกาสที่จะกลับมาได้ใหม่ในอนาคต
ถาม: คำว่า "รู้แจ้งฉับพลัน" หลังการประทับจิตนั้น ท่านหมายความว่าอย่างไร?
ตอบ: ฉันหมายถึงการรู้แจ้งแบบ "ฉับพลัน" "ทันที" เหมือน กับแบบนี้ โอเค? (อาจารย์ดีดนิ้ว) ถ้าฉันแสดงให้เธอเห็นสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของเธอแล้ว เธอจะสามารถหยิบมันออก มาได้ทันทีหรือเปล่า? (ผู้ฟัง: ได้) เป็นแบบนี้แหละ เพราะว่าเธอมีมันอยู่ภายในตัวเธอ ฉันเพียงแต่ชี้ให้เธอรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เธอก็เอามันออกมาได้
ถาม: ท่านอาจารย์ทุกวันนี้มีคนเป็นจำนวนพันๆ ล้าน ซึ่งจะผ่านชีวิตนี้ไปโดยไม่ได้รับการประทับจิตจากท่าน หมายความว่าคนเหล่านี้จะไม่สามารถรู้แจ้งในชาตินี้ด้วยวิธีการอื่นเลยหรือ?
ตอบ: ได้ ทำได้ เขาทำได้ แต่ทำได้ในระดับที่แตกต่างกัน เข้าใจไหม? บางครั้งเมื่อสวดอธิษฐานอย่างตั้งใจ เขาก็อาจจะได้รับการรู้แจ้งแวบหนึ่ง แต่มันริบหรี่หน่อย และบางครั้งก็หายไปได้ แล้วเขาก็อาจจะไม่รู้อย่างชัดเจนว่าสวิตซ์อยู่ไหน เธอสามารถเปิดมันเมื่อไรก็ได้ที่เธอต้องการ และเธอจะอยู่ภายในกรอบของแสง แต่การรู้แจ้งจากวิธีการอื่นๆ อาจจะไม่ถาวรเสมอไป และบางครั้งก็อันตรายเพราะเขาไม่รู้วิธีการจัด การกับพลังงานซึ่งค้นพบใหม่ เพราะฉะนั้นบางคนจึงมีปัญหาทางสมอง และมีอะไรแปลกๆ อีกหลายอย่าง หรือมัวแต่เพลินอยู่กับอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นพลังระดับล่างๆ ก็เลยกลาย เป็นนักอิทธิปาฏิหาริย์ คนรักษาโรค หรืออะไรอย่างอื่นโดยไม่สามารถไปถึงระดับจิตขั้นสูง เพราะว่าหากไม่ได้รับการนำทางจากอาจารย์ เราก็ไม่รู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปไหน แล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลานและเล่นอยู่กับสิ่งต่างๆ มากมายและบางครั้งก็อัน ตราย เพราะว่าหนทางแห่งหารรู้แจ้งเพราะว่าหนทางแห่งการรู้แจ้งนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์กลและหลุมพราง ซึ่งเราควรต้องหลีก เลี่ยง แต่เมื่อได้รับการนำทางอย่างมีประสบ การณ์มันก็ง่ายกว่า เร็วกว่า ปลอดภัยกว่า แต่เราจะทำอะไรได้ล่ะ? โลกก็เป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นมันถึงยังเป็นโลกนี้อยู่ ถ้าคนในโลกรู้แจ้งกันหมดเราก็ไม่เรียกว่า "โลก" อีกต่อไป เราจะเรียกว่า "สวรรค์" เข้าใจไหม? และบรรยากาศรอบตัวเราจะต่างไปจากเดิม ทุกๆ สิ่งจะต่างไป ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาอาหาร เราไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไรเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีอยู่เหมือนในสวรรค์ เพราะผลบุญของเราจะแตกต่างออกไปหลายเท่าทวีคูณ เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มีเพียงไม่กี่ล้านคนเท่านั้นที่รู้แจ้ง ผลของมันไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมประชากรทั่วโลก เข้าใจไหม? ดังนั้น เราจึงยังมีภัยพิบัติ ยังมีสงคราม ถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าแต่ก่อนก็ตาม การเมืองก็ลดความเข้มข้นลง โอกาสที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 4 ที่ 5 ก็ห่างไปจากปัจจุบันแล้ว เพราะในศตวรรษนี้คนส่วนใหญ่มีการตระหนักรู้สูงส่งขึ้น เนื่อง จากสื่อมวลชน ระบบการกระจายข่าวเกี่ยวกับข่าวสารการรู้แจ้งของอาจารย์ไปทั่วโลก และเนื่องจากคนจำนวนมากเข้ามาร่วมในกลุ่มของนักปราชญ์ผู้รู้แจ้ง เพราะฉะนั้นโลกเราจึงดีขึ้น
ถาม: พระเยซูไม่ได้กล่าวถึงเฉพาะสิ่งดีๆ เช่น สันติ ภาพ ความรัก ชีวิตนิรันดร์เท่านั้น พระองค์ยังกล่าวถึงสิ่งที่น่ากลัวเกี่ยวกับการลงโทษชั่วนิรันดร์ด้วย ท่านเชื่อว่าพระเจ้าจะลงโทษใครสักคนไปชั่วนิรันดร์หรือไม่?
ตอบ: ไม่ ตัวเขานั่นแหละลงโทษตัวเอง ถ้าเขาปฏิเสธแสงสว่างเขาก็ต้องอยู่ในความมืด และตราบใดที่เขายังปฏิเสธอยู่เขาก็จะยังคงอยู่ในความมืด เขาอาจจะอยู่ไปตลอดนิรันดร์ก็ได้ถ้าเขาปฏิเสธแสงสว่างไปตลอดนิรันดร เพราะฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับแต่ละคน (คนปรบมือ)

ถาม: ในฐานะที่เป็นมนุษย์บนโลก เรามีหน้าที่ที่ต้องกระทำเช่น เรื่องอาหาร เสื้อผ้า ให้มีหลังคาคุ้มหัวของเรา และมีมากพอที่จะจ่ายให้กรมสรรพากร (คนหัวเราะ) เราจะหลุดออกจากสิ่งเหล่านี้ และเริ่มต้นฟูมฟักความต้องการทางจิตวิญญาณของเราได้อย่างไร?
ตอบ: เธอก็ยังต้องรักษาหลังคาไว้เหนือหัวของเธอ อย่าเอาหลังคาออกไป (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เพียงแต่ให้เธอรู้แจ้งขึ้นไม่ต้องกังวลหรอก! ฉันอาศัยอยู่ในเต๊นท์ ฉันก็ยังเรียบร้อยดี บางครั้งเต็นท์ถูกพัดหายไปไม่มีหลังคาอยู่ ฉันก็ยังโอเค เราเคยมีสถานที่นั่งสมาธิซึ่งกว้างใหญ่มาก สามารถรองรับคนได้ประมาณ 7,000 คน แต่เมื่อปีที่แล้วมีบางคนพูดอะไรบางอย่างออกมาสถานที่นั้นก็เลยถูกรื้อลงมา ก็โอเค เราก็ปล่อยให้มันถูกรื้อไป เราไม่คัดค้าน เราไม่บ่น เราไม่อธิบายเรื่องที่เราถูกกล่าวหาโดยไม่มีมูล เราไม่กังวลเลย จากนั้น เราก็วางแผนที่จะเอาเสื้อกันฝนมาเวลาที่ฝนตก และเอาร่มมาเวลาแดดออก เพียงเพื่อจะได้นั่งตรงนั้น นั่งสมาธิไปเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่เมื่อเรารู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเรียบร้อยไปด้วย พระเยซูสัญญาไว้ว่า "จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด แล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมาสู่เราเอง" ฉันก็สัญญากับเธออย่างเดียวกัน (คนปรบมือ)
ถาม: จริงหรือไม่ที่หากผู้หญิงไม่มีลูกของตนเองเธอจะไม่มีชีวิตที่สมบูรณ์?
ตอบ: เขาต้องการได้คำตอบไร้สาระหรืออะไรกัน? พวกเธอเห็นด้วยหรือเปล่า? (ผู้ฟัง:ไม่เห็นด้วย) พวกเขาบอกว่า "ไม่เห็นด้วย" โอเค! ถ้าพระเจ้าไม่ได้บัญชาให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานอันเกิดจากการคลอดลูก เธอก็ควรจะบอบคุณในพระพรของท่าน (คนปรบมือ) จริงไหม? เรามีเด็กๆ มากพอแล้วโลกนี้
ถาม: จิตใจของฉันยากที่จะสงบลงเพื่อจะนั่งสมาธิได้ มันเหมือนกับลิงซึ่งอยากจะวิ่งเล่นแต่ไม่ยอมนั่งเงียบๆการนั่งสมาธิตามแบบของท่านจะช่วยให้จิตใจสงบลงและตระหนักรู้ถึงตัว ตนที่แท้จริงได้อย่างไร?
ตอบ: ฉันเพียงแต่ทำให้จิตใจหลับไป (คนหัวเราะ) โดยใช้แสงและเสียง ดนตรีจะช่วยกล่อมให้เขาหลับ แสงจะช่วยให้เขาสบาย แล้วเขาก็จะหลับไปอย่างรวดเร็วเหลือเพียงแต่วิญญาณเท่านั้นที่ตื่นอยู่ อย่างไรก็ดี ถ้าเธอยังไม่ต้องการที่จะมาร่วมกับเราก็พยายามนั่งสมาธิตามวิธีของเธอต่อไป และเธอก็จะเคยชินกับมันมากขึ้นทีละน้อย แต่ปัญหาก็คือถ้าเธอนั่งอยู่ในสมาธิใช้ความพยายามสุดความสามารถ เพ่งลมหายใจหรือจักระหัวใจ หรือจักระอะไรก็ตามทั่วไปหมด แล้วเอก็ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย แน่นอนจิตใจก็ต้องรู้สึกเบื่อหน่าย แล้วมันก็จะพูดว่า "เฮ้ นี่เธอทำอะไรอยู่น่ะ? เธอจับฉันมานั่งที่นี่เพื่ออะไร? ฉันอยากจะดูหนังมันสนุกกว่านี้ตั้งเยอะ ฉันอยากจะไปดื่มน้ำชาและพูดคุยกับเพื่อนๆ ดีกว่ามานั่งแบบนี้" เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม?
ฉันมีเพื่อนบำเพ็ญคนหนึ่ง เธออายุค่อนข้างมากแล้วประ มาณ 60 โอ ไม่ใช่ 50 กว่าๆ ก่อนที่เธอจะมาเจอฉันเธอมีอาจารย์คนอื่นมากมาย อาจารย์เหล่านั้นสอนธรรมวิถีให้แก่เธอหลายแบบหลายวิธี นั่งพิจารณาลมหายใจ นั่งอยู่ในเซนวันละ 15 ชั่วโมงและอะไรอย่างอื่นอีกมาก ทานอาหารเพียงมื้อเดียวและเธอก็บอกว่าเธอก็นั่งและนั่ง จนในที่สุดเธอก็ไม่สามารถนั่งต่อไปได้ เธอไม่ได้รับอะไรเลยเธอจึงทนไม่ได้ แต่หลังจากที่เธอได้รับการรู้แจ้งแล้วเธอก็บอกว่า "โอ บางครั้งเธอนั่งนานถึง 4 ชั่วโมง" แล้วเธอก็มีความสุขมากเป็นความสุขที่ล้นเหลือและเพราะว่าเธอมีความสุข ครอบครัวทั้งครอบครัวของเธอซึ่งมีสมาชิกอยู่ 8 คนก็เลยพลอยสุขไปด้วยทั้งหมด พวกเขามาเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ไม่ได้รับการประทับจิตด้วยซ้ำ พวกเขาบอกว่างานของฉันเป็นประโยชน์มากขนาดไหน พวกเขาให้กำลังใจฉันให้ทำต่อไปทั้งๆ ที่พวกเขาก็ไม่ได้รับการประ ทับจิต
ถาม: ทำไมการเป็นมังสวิรัติจึงสำคัญมากน้อยต่อการรู้แจ้ง?
ตอบ: มันสำคัญต่อตัวเธอต่างหาก เธออาจจะได้รับการรู้แจ้งโดยไม่จำเป็นต้องเป็นมังสวิรัติก็ได้ เพราะฉันไม่ได้กำหนดให้เธอต้องเป็นมังสวิรัติก่อนการประทับจิต แต่ต้องเป็นหลังจากประทับจิตเท่านั้น เธอสามารถรู้แจ้งเหมือนๆ กันโดยอาศัยพลังพรของผู้ที่เป็นอาจารย์ แต่เราต้องรักษาทัศนคติในการมีความรักต่อสรรพสัตว์ทั้งมวล เพราะว่าพวกเขาก็คือตัวเราเอง ถ้าเธอกินสมาชิกของร่างกายของเธอไปหมด หลังจากนั้นเธอก็จะรู้ชัดว่าเธอไม่มีอะไรเหลือ เข้าใจไหม? นอกจากนี้ เราก็ไม่ควรจะอยู่ในรสชาดทางวัตถุ แต่ควรจะพ้นออกมาอยู่ในความสุขแห่งการรวดชีวิตให้แก่พวกเขา (คนปรบมือ)
ถาม: ฉันเชื่อว่าฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ถ้าฉันสามารถลบความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าว่าเป็นบุคคลหนึ่ง ธรรมวิถีกวนอิมจะช่วยในแง่นี้ไหม?
ตอบ: ได้ๆ ธรรมวิถีนี้มีไว้ก็เพื่อสิ่งนี้แหละ เราจะลบการแบ่งแยกออกไป ลบความมีตัวตนออกไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นเราก็ไม่ต้องทำอะไรแต่พระเจ้าจะทรงทำโดยผ่านทางตัวเรา
ถาม: ฉันไม่เชื่อว่าสติปัญญาจะดำรงอยู่เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น ท่านเชื่อหรือไม่?
ตอบ: ใช่ ถูกต้อง ไม่ได้อยู่เฉพาะที่นี่แต่อยู่ในโลกทุกโลก อาจมีระดับมากหรือน้อยต่างกันไปซึ่งอยู่กับสถานที่ ขึ้นอยู่กับสถาน ที่นั้น มีโลกอื่นๆ บางแห่งซึ่งฉลาดกว่าพวกเรา แล้วก็มีบางแห่งซึ่งฉลาดน้อยกว่าพวกเรา
าม: ฉันจะรู้ถึงภารกิจของฉันในชีวิตนี้ได้อย่างไร?
ตอบ: โอ ฉันขอแนะนำให้เธอได้รู้แจ้งเสียก่อน แล้วเธอก็จะเห็นชัดเจนขึ้น
ถาม: ท่านทำงานร่วมกับพี่น้องสีขาว หรือพี่น้องแห่งจักรวาล?
ตอบ: ใช่ ฉันยังทำงานร่วมกับพี่น้องสีดำด้วย (คนหัวเราะและปรบมือ) เราไม่มีการแบ่งแยก แน่นอนเขาหมายถึงพี่น้องสีขาวซึ่งเป็นชื่อเรียกสำหรับผู้ที่รู้แจ้งแล้วซึ่งช่วยเหลือจักรวาลทั้งมวล ตะกี้นี้ฉันพูดเล่นนะ ที่นั่นไม่มีขาวไม่มีดำหรอก (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ถาม: เมื่อบุคคลหนึ่งกลายเป็นอาจารย์แล้วเขาจะยังมีความกลัว ความสงสัย หรือความโกรธหรือไม่? เราเรียกพระเยซูว่าเป็นอาจารย์ท่านหนึ่ง อย่างไรก็ดีตามที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูก็มีความหวาดกลัวในคืนก่อนที่ท่านจะถูกตรึงกางเขนและก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านก็ร้องว่า "ทำไมพระเจ้าจึงทอดทิ้งฉันเล่า? กรุณาอธิบายด้วย หากพระเยซูยังมีความกลัว มีความสงสัย แล้วเราจะไม่มีความกลัวและความสงสัยได้อย่างไร?
ตอบ: ใช่ พวกท่านก็อาจจะมีความกลัวและความสงสัยแต่ความกลัวและความสงสัยนั้นไม่ได้หยั่งรากลึกเหมือนพวกเรา เธอเข้าใจไหม? ถ้าพระเยซูไม่มีความกลัวที่จะถุกตรึงกางเขนเลย การเสียสละของท่านก็คงไม่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ท่านมีความกลัวแต่ท่านก็ยอมรับมัน เข้าใจไหม? ส่วนพวกเรามีความกลัวแล้วเราก็วิ่งหนี เราพยายามจะโทษคนอื่นหรือพยายามหนี เราพยายามจะเอากางเขนไปให้ผู้อื่น นี่แหละคือความแตกต่าง เราอาจจะมีความกลัว เราอาจจะมีอารมณ์แต่เราสามารถดึงกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ หรือเราอาจจะใช้ความกลัวหรืออารมณ์ของเราเพื่อเป็นประโยชน์อื่นๆ
หลังจากรู้แจ้งแล้ว ความรู้สึกและอารมณ์ทั้งหลายก็ยัง คงอยู่เหมือนเดิม เพราะเราถูกสร้างขึ้นมาให้มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อที่จะใช้มันในการเข้าใจพี่น้องชายหญิงของเรา ถ้าเธอไม่มีความรู้สึก ไม่มีอารมณ์ เธอจะเข้าใจมนุษย์ด้วยกันได้อย่างไร? เธอจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร เข้าใจไหม? แต่ความกลัวของผู้ที่เป็นอาจารย์นั้นจะต่างไป ความกลัวของอาจารย์บางครั้งได้รับผลกระทบมาจากความกลัวของลูกศิษย์ ท่านจะรับความกลัวมาจากลูกศิษย์เพื่อให้ลูกศิษย์ไม่กลัว แต่ผู้ที่เป็นอาจารย์ก็ต้องรับความกลัวนั้นไว้ระดับหนึ่ง แต่ความกลัวนั้นตื้นๆ ไม่หยั่งรากลึกเป็นเพียงแค่ภาพหลอนผู้ที่เป็นอาจารย์นั้นในแง่หนึ่งมีความกลัว แต่ในอีกแง่หนึ่งไม่มีความกลัวอะไรเลย เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม? ท่านรู้ว่าท่านต้องมีความกลัวแต่ท่านไม่ได้กลัวความกลัวนั้น (คนปรบมือ)

ถาม: จริงๆ แล้วกวนอิมหมายความว่าอย่างไร? กรุณาอธิบายด้วย
ตอบ: ในกลุ่มของเรากวนอิมหมายถึง การสังเกตคำพูดภายใน คำสอนภายใน ดนตรีภายใน ดนตรีสวรรค์
ถาม: ความรักนั้นสามารถเป็นแบบไม่มีข้อแม้ได้จริงๆ หรือ? ถ้าพระเจ้ารักผู้ที่ไม่ทำบาปและยังรักและให้อภัยผู้ที่ทำบาป แล้วทำไมเราจึงต้องมานั่งเสียเวลาในชีวิตของเราเพื่อพยายามหลีก เลี่ยงบาป?
ตอบ: ก็เพราะว่ามันทำร้ายตัวเราเองไม่ใช่ทำร้ายพระเจ้า เมื่อ ใดก็ตามที่เราทำสิ่งซึ่งเรารู้ว่าบาป ไม่ถูกต้อง เราก็ทำร้ายตัวเราเอง จิตสำนึกของเราจะด่าเราทำให้เราลำบาก เพราะฉะ นั้นเราจึงพยายามหลีกเลี่ยงมัน พระเจ้ารักทุกคนเหมือนๆ กันดังนั้น พระอาทิตย์จึงสาดส่องลงมาบนทุกสิ่งทุกอย่าง ฝนไม่เกลียดคนจน คนเจ็บป่วยหรือคนบาป แต่เป็นตัวเราที่รับผิดชอบต่อความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างเรากับพระเจ้าถ้าเราทำอะไรซึ่งไม่ถูกต้อง ดังนั้น เราจึงควรหลีกเลี่ยงมัน นอกจากนี้ยังเป็นหน้าที่ของเราด้วยเมื่อเราอาศัยอยู่ในโลกนี้ เรามีความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน เราจึงต้องรักษาสังคมให้มีความเป็นระเบียบเรียบ ร้อย โอเค?
ถาม: สิ่งซึ่งอาศัยอยู่ในโลกอื่น หรือพวกที่เดินทางมาในจานบินนั้น พวกเขามีชะตาชีวิตแบบเดียวกับมนุษย์เราหรือไม่ มีความอ่อนแอต่อความทุกข์ทรมานเหมือน กัน มีความต้องการจะรู้แจ้งเหมือนกันหรือไม่?
ตอบ: ใช่ ก็เหมือนกันบ้าง เหมือนกันในระดับหนึ่ง แต่น้อยกว่าเราน้อยกว่าพวกเราที่เป็นชาวโลก เพราะว่าพวกเขามีความ ก้าวหน้ามากกว่า เขาอยู่ใกล้พระบิดามากกว่า เขามีแสงมากกว่า มีปัญญามากกว่า
ถาม: เมื่อได้รับการประทับจิตแล้ว เราจำเป็นต้องเลิกนับถือศาสนาของเราหรือไม่?
ตอบ: ไม่ๆๆ กรุณาอย่าเลิก เราบอกแล้วว่าในการประทับจิตนั้น เธอไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอาชีพ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา ไม่มีปัญหา ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร ขอให้ทานมังสวิรัติเท่านั้นก็พอ
ถาม: เราจะได้พบกับสัตว์เลี้ยงของเราและเพื่อนๆ ที่เป็นสัตว์ในสวรรค์หลัง จากการเดินทางของชีวิตนี้สิ้นสุดลงหรือไม่?
ตอบ: ได้ถ้าพวกเธอต้องการพวกเขา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ถ้าเธอต้องการพวกเขาและถ้าเธอรู้แจ้งเธอก็สามารถเอาพวกเขาไปได้ แต่ถ้าเธอไม่รู้แจ้งเธอก็ไม่มีกำลังที่จะนำเขาไป เธอไม่มีพลัง เธอไม่สามารถแม้กระทั่งจะนำตัวของเธอเองไปยังที่ๆ ต้องการแล้วจะเอาสัตว์เลี้ยงไปได้อย่างไร
ถาม: วัตถุประสงค์ของโรคระบาด เช่น มาลาเรีย เอดส์ ฯลฯ คืออะไร? มนุษย์เรากำลังขัดขวางกระบวน การทางธรรมชาติโดยการพยายามหาวิธีรักษาโรคเหล่านี้หรือไม่?
ตอบ: เมื่อเธอค้นพบวิธีรักษาโรคนี้บางโรค ก็จะมีโรคชนิดอื่นเกิดขึ้นมาเองอีก แต่เมื่อมนุษย์ตระหนักว่าเขาควรจะยอมตามพระประสงค์ของพระเจ้า ยอมตามพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่ภายในตัวเรา และต่อเมื่อมนุษย์ตระหนักว่าภายในตัวเขามีพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งรักษาโรคได้ทุกโรค และตระหนักว่าเขาควรจะพึ่งพลังนี้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นโรคทั้งหลายจึงจะหายไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นคำเตือนว่าเราควรจะหันกลับมาหาพระเจ้า
ถาม: การรู้แจ้งเพื่อไปถึงระดับสุงสุด หรือการตระ หนักรู้ในพระเจ้านั้นจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับตัวเอว่าเธอขยันแค่ไหน เธอต้องการมันมากแค่ไหน และยังขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นอาจารย์ ว่าอาจารย์ผู้นั้นมีพลังเพียงพอที่จะนำเธอผ่านระดับต่างๆ ของจิต และพอที่จะนำเธอไปในที่ๆ เธอต้องการได้หรือไม่?

ถาม: ระดับของสมาธิมีกี่ชนิด?
ตอบ: ว้าว! มีเยอะแยะมากมาย ระดับของจิตมีมากมาย ดังนั้น ระดับของสมาธิก็มีมากมาย แต่สมาธิที่ท้ายสุดก็คือสมาธิซึ่งมิใช่สมาธิ หมายความว่า เธอทำงานของเธอในโลกต่อไปเหมือนคนธรรมดา แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็อยู่ในสมาธิตลอดเวลาและไม่ส่งกลิ่นออกมา (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) ไม่มีกลิ่นอะไรออกมาที่เธอจะสามารถดมได้ว่าบุคคลนั้นอยู่ในสมาธิ นั่นแหละคือสมาธิระดับสูงสุด
ถาม: เราสามารถจะแยกศาสนาและวิทยาศาสตร์ออกจากกันและเชื่อในทั้ง 2 อย่างได้หรือไม่? ฉันหมายความว่า ด้วยการทำแบบนี้ฉันจะสามารถเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในวิวัฒนาการพร้อมกันไปด้วยหรือไม่?
ตอบ: แน่นอนๆๆ ทฤษฏีวัฒนาการสนับสนุนความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณของมนุษยชาติ มันเป็นเรื่องเดียวกัน วิทยา ศาสตร์และทฤษฎีทางศาสนาคล้ายคลึงกันมาก สิ่งเดียวที่แตก ต่างก็คือ บางครั้งวิทยาศาสตร์สามารถก้าวไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็หยุดที่นั่น แต่ศาสนานั้นไปได้ไกลกว่าและกว้างกว่า (คนปรบ มือ)


วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

รู้จักธรรมชาติแห่งพระเจ้าของเราเอง


โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ณ มหาวิทยาลัยเออร์วีน แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
2 มิถุนายน 2541 (ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)


คำถามที่ชวนพิศวงงงงวยตั้งแต่โบราณกาล


เราต้องเริ่มต้นมาจากที่ใดที่หนึ่ง และชีวิตของเราได้เริ่มต้นมาเป็นเวลานานแล้ว หรือบางทีมันอาจจะเพิ่งเริ่มต้น และเราได้ลืมไปว่าจริงๆ แล้วเรามาจากที่ไหน นั่นเป็นคำถามเดียวเท่านั้นซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ พวกเราเป็นจำนวนมากไม่สามารถบอกได้ เรื่องอื่นๆ นั้นเราฉลาดพอที่จะรู้ เราสามารถเรียนรู้ได้จากหนังสือ เราสามารถทำการทดลองได้ในห้องทด ลอง เราสามารถใช้สสารทางเคมีหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะให้คำตอบ แต่คำตอบเดียวเท่านั้นซึ่งน่างุนงงที่สุดก็คือ “เรามาจากที่ใด?” และอีกคำถามหนึ่งซึ่งน่างุนงงพอๆ กันก็คือ “เราจะไปที่ไหนหลังจากนี้?” เป็นที่ปรากฏชัดว่าสำหรับพวกเรานั้นชีวิตไม่ได้จบสิ้นในโลงศพ เรารู้ดีในเรื่องนั้น เพียงแต่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ สำหรับนักบุญผู้มีปัญญาในสมัยโบราณ คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ง่ายมาก พวกเขารู้ดีว่าพวกเขามาจากที่ใดและพวกเขาก็รู้ดีว่าพวกเขาจะไปยังที่ใด สำหรับพวกเขาแล้วปัญหาเรื่องการตายไม่มีน่าดึงดูดใจหรือน่าตกใจเลย เพราะเหมือนอย่างที่นักบุญในไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า ฉันตายทุกวัน
การตายทุกวันหมายความว่าอย่างไร? เมื่อเราดึงตัวเราเข้าสู่ภายในเพื่อเข้าไปยังอาณาจักรแห่งพระเจ้า นั่นก็คือเวลาที่เราตาย เราตายชั่วคราวแล้วเราก็กลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น การกลับชาติมาเกิดสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าเวลาใดในระหว่างชีวิตปกติของเราถ้าเราทำตามขั้นตอนของพระเยซู ของนักบุญในสมัยโบราณ เนื่องจากว่าเราตายเพียงครั้งเดียว หรือเราตายทุกวันเราจึงทราบดีว่ามีอีกชีวิตหนึ่ง มีโลกอื่นนอกเหนือจากโลกทางวัตถุนี้ เราก็จะเป็นอิสระที่จะท่องเที่ยวไปทั่วจักรวาล เราค้นหาความลึกลับของจักรวาล เราทราบดีว่าการตายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร และอันที่จริงแล้วเราก็ทราบว่าเราไม่เคยตาย เรายังทราบว่าเราไม่มีแม้กระทั่งกายเนื้อ มันอาจจะดูแปลกแต่มันก็เป็นความจริง
เพราะเหตุนี้ เมื่อพระเยซูถูกตรึงกางเขนพระองค์จึงไม่กลัว พระองค์ไม่ได้ร้องไห้ พระองค์ไม่ได้ร้องขอชีวิต พระองค์ไม่ได้วิ่งหนีไป พระองค์อาจจะทำเช่นนั้นก็ได้ แต่พระองค์ไม่ต้องการ พระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องทำ พระองค์จำนนทุกสิ่งต่อพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะพระองค์ทราบว่าพระองค์กำลังจะไปที่ใด พระองค์ทราบอยู่ตลอดเวลา พระองค์ทราบว่าไม่มีเรื่องอย่างเช่นความตายหรือความทุกข์ ความทุกข์อันแท้จริงเกิดขึ้นเมื่อเราไม่ทราบว่าเรามาจากที่ใด และเราจะไปยังที่ใดเนื่องจากพระเยซูทราบอยู่แล้ว พระองค์จึงเลิกแสวงหาความสบายทางวัตถุ พระองค์ไม่กลัวตายและพระองค์ก็ได้ไป เพราะพระองค์ทราบว่าพระองค์จะอยู่ที่นั่นเสมอไป และพระองค์ ทราบว่า เป็นเพียงกายเนื้อเท่านั้นซึ่งเน่าเปื่อยในสายตาของมนุษย์แต่ในปัญญาของพระเยซู ไม่มีสิ่งเช่นนั้นแม้กระทั่งอย่าง เช่นกายเนื้อ
เรื่องนี้ยากที่จะพิสูจน์ เว้นเสียแต่ว่าเราได้เดินบนเส้นทางเดียวกับมหาอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเช่น พระพุทธเจ้าหรือพระเยซู พระองค์เดินบนเส้นทางเดียวกัน ดังนั้น พระองค์จึงเทศนาในเรื่องเดียวกัน ถึงแม้ว่าเราจะตั้งชื่อว่าศาสนาพุทธหรือศาสนาคริสต์ก็ตาม เรามีคำศัพท์เฉพาะมากมายและได้แบ่ง แยกสัจธรรมออกเป็น 2 หมวดหมู่ซึ่งแตกต่างกันซึ่งทำให้เราสับสน แต่อันที่จริงแล้วโดยพื้นฐานแล้ว อาจารย์มักจะสอนเรื่องเดียวกันเสมอ ถ้าหากเราตัดริบบิ้นกระดาษที่ห่อของและวิธีการที่แตกต่างกัน ความสามารถพิเศษและคำพูดของอาจารย์แต่ละคนออกไป มันก็จะเป็นสิ่งเดียวกัน โดยเฉพาะหลังจากที่เราได้รู้แจ้งแล้ว หรือเราได้เดินเส้นทางเดียวกันและบำเพ็ญสิ่งเดียวกันเราก็จะรู้ว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะทั้ง 2 พระองค์ได้เดินไปบนเส้นทางเดียวกัน สมมุติว่าพวกเราทั้งหมดเข้ามายังห้องประชุมนี้นั่งอยู่ที่นี่สักชั่วครู่ แล้วหลังจากนั้นเราก็ออกไปและบอกลักษณะของห้องเดียวกันก็จะไม่มีความแตกต่างกัน


การรู้แจ้งคือสภาพธรรมชาติของเรา


การรู้แจ้งเป็นอย่างไรกันจึงทำให้คนเป็นจำนวนมากทำให้มันดูลึกลับและยกย่องมันมากเหลือเกิน และกระตุ้นให้เราเรียกร้องมันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง? มันไม่ใช่เป็นการรู้แจ้งเลย มันเป็นเพียงสัจธรรม มันควรที่จะเป็นเช่นนั้น มันเป็นแบบที่มันเป็น และถ้าเราไม่รู้จักการรู้แจ้งเราก็จะมีความทุกข์อย่างมากต่อไป จนกว่าเราจะตระหนักว่าสิ่งอื่นๆ นั้นไม่สำคัญยกเว้นการได้รู้จักพระเจ้า เมื่อเราเริ่มที่จะอยากรู้จักพระเจ้าๆ ก็จะส่งคนอื่นมาเป็นเพื่อน ผู้ชี้นำ พี่ชายที่มีประสบการณ์ เพื่อที่จะแสดงให้เรารู้ว่าจะต้องทำอะไร หลังจากที่เรารู้ว่าจะต้องทำอะไรแล้วนั่นก็คือตอนที่เราได้รู้แจ้ง เราอาจจะไม่รู้แจ้งยิ่งใหญ่ในทันทีเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าหรือพระเยซูแต่เราก็ได้รู้แจ้งขึ้นมาบ้าง จากนั้นทุกๆ วันเราก็ดำเนินตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะยิ่งใหญ่เหมือนเดิม เราจะเข้าใจในสิ่งที่พระเยซูได้กล่าวกับเราเหมือนอย่างเช่น “อะไรก็ตามที่ฉันทำ เธอสามารถทำได้ดีกว่า หรือเธอสามารถทำได้ดีเหมือนๆกัน” และ “ฉันและพระบิดาของฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน” เราจะเข้าใจว่าเราทั้งหมดต่างก็เป็นบุตรของพระเจ้า เราจะเข้าใจว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้า และมีเพียงพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในตัวเรา
ถ้าหากพระเจ้าอาศัยอยู่ในตัวเรา เช่นนี้แล้วเราคืออะไร? เราคือพระเจ้า ถ้านี่คือบ้านแห่งเดียวเท่านั้นและพระเจ้าอาศัยอยู่ภายใน ถ้าเช่นนั้นมีใครอื่นอีกที่อยู่ในนั้น? จะเป็นไปได้ไหมที่ฉันและพระเจ้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน? พระองค์ไม่ได้ตรัสว่าฉันและพระเจ้าอาศัยอยู่ในนั้น พระองค์ตรัสว่าฉันและพระบิดาของฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าหากฉันและพระบิดาของฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วทำไมเราจึงไม่รู้จักพระองค์ล่ะ? ถ้าหากพระจิตอันศักดิ์สิทธิ์อาศัยอยู่ภายในวิหารหลังนี้ และกายเนื้อนี้เป็นวิหารแห่งเดียวเท่านั้น และมีคนคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในซึ่งก็คือพระเจ้า ถ้าเช่นนั้นแล้วใครล่ะที่อยู่ข้างใน? มีเพียงคนเดียวเท่านั้น พระเจ้าคนเดียวเท่านั้น
แต่ก่อนเรื่องนี้ได้ทำให้ฉันร้องไห้ในบางครั้ง ฉันพูดว่า “ถ้าฉันเป็นพระเจ้า ทำไมฉันจึงมีความถ่อมตนนัก? ทำไมฉันจึงอ่อนแอนัก? ทำไมฉันจึงตัวเล็กนัก ทำไมฉันจึงโง่เขลานัก? ทำไมฉันจึงมีความทุกข์มากนัก? บ้านของฉันอยู่ที่ไหน?” และนั่นก็คือตอนที่เราเริ่มถามตัวเราว่าจะทำให้ได้ความรุ่งโรจน์ของเรากลับคืนมาอีกครั้งอย่างไร? นั่นคือตอนที่การรู้แจ้งเริ่มต้นคืบคลานเข้ามาหาเรา หรือเรากำลังคืบคลานไปสู่การรู้แจ้ง หรือเราอาจจะกำลังวิ่ง กำลังบิน ก็สุดแล้วแต่ บางคนบิน บางคนเดิน บางคนอาจจะไปโดยรถไฟ ด้วยเหตุนี้ในเวลาที่เรียกว่าการรู้แจ้ง บางคนจึงรู้แจ้งมากกว่า บางคนมีการรู้แจ้งที่ “ยิ่งใหญ่” น้อยกว่า ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าบางครั้งเราเลือกที่จะไปเร็วกว่า บางครั้งเราเลือกที่จะไปช้ากว่า
เราเลือกในเรื่องนั้นอย่างไร? เราเลือกก่อนที่เราจะมาเกิด เราเลือกก่อนการสร้างโลกจะเริ่มต้นเล่นบทบาทของเราในโลกวัตถุนี้หรือในส่วนใดของจักรวาล เรากระจายไปทั่ว เราเป็นหนึ่งเดียว แล้วก็เป็นมากมายตามที่พระเจ้าประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้น เรามีส่วนร่วมในการออกแบบอันยิ่งใหญ่ของการสร้างโลกเพื่อที่จะเล่นละครแห่งชีวิตอันมีสีสัน และในตอนนี้เมื่อเวลาที่บทบาทของเราจะต้องจบลงได้มาถึง ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น หรือเมื่อเราเหนื่อยล้าแล้วเราก็ต้องการที่จะลาพัก เราต้องการที่จะกลับบ้าน คนอื่นๆ หรือวิญญาณดวงอื่นๆ ก็จะเล่นบทบาทของเราต่อไปแล้วก็จะเริ่มกลับไปยังบ้าน นั่นก็คือตอนที่การรู้แจ้งได้เกิดขึ้น มันเรียบง่ายมาก เราเป็นพระเจ้า เราเลือกที่จะโง่เขลาเพื่อที่จะเล่นละครแห่งชีวิตนี้ เพื่อที่จะให้การสร้างโลกนั้นมีสีสันและมีชีวิตชีวา ให้มันแตกต่าง ให้มันสนุก รวมทั้งเพื่อที่จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใคร ในสวรรค์มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น เราไม่รู้จักพระเจ้าเพราะเราเป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเป็น “แบบที่ไม่ใช่เป็นพระเจ้า” เราเลือกที่จะมาที่นี่เพื่อจะให้แตกต่างจากพระเจ้าเพื่อว่าเราจะได้เห็นและเปรียบเทียบและทราบว่าเราคือพระเจ้า
การรู้แจ้งเป็นจุดมุ่งหมายของทุกคนที่มายังจักรวาลแห่งวัตถุนี้ เนื่องจากเราต้องการรู้จักพระเจ้า เราจึงได้เลือกที่จะเล่นบทบาทที่โง่เขลานี้ เพื่อที่เราจะได้รู้จักพระเจ้าและตัวเราจริงๆ เหมือนอย่างถ้าในโลกนี้มีเพียงผู้ชายเท่านั้น เราก็จะไม่รู้จักความแตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เราจะไม่รู้ว่าเราเป็นผู้ชาย เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้หญิง เราจะไม่รู้จักกลางวันถ้าไม่มีกลางคืน ถ้าหากเรามีชีวิตอยู่แต่ในแสงสว่างเราก็จะไม่รู้ว่าความมืดคืออะไร นั่นคือคำตอบที่ฉันได้ค้นพบ แต่การที่จะค้นพบความหมายอันแท้จริงของมัน ที่จะตระหนักถึงความ หมายอันแท้จริง พวกเราแต่ละคนจะต้องค้นหาวิธีการที่จะค้น หามันด้วยตัวเขาหรือตัวหล่อนเอง มันไม่ใช่ด้วยการฟัง ด้วยการได้ยิน ด้วยการพูดที่จะทำให้เรารู้ว่าเราเป็นพระเจ้า แม้ว่าเราจะเชื่อคัมภีร์ไบเบิล ในขณะนี้เราก็ยังคงไม่รู้ว่าเราเป็นพระเจ้าหรือว่าเรารู้แล้ว? ฉันเดาว่าพวกเธอบางคนทราบเพราะเธอรู้แจ้งแล้ว บางคนก็ได้ศึกษากับอาจารย์ท่านอื่นๆ หรือครูคนอื่นๆ และแน่นอน เธอก็ได้รู้ในระดับหนึ่งว่าเธอไม่ใช่เป็นเพียงแค่ร่างกาย เธอไม่ใช่ร่างกายเลย
บางครั้งในระหว่างที่อยู่ในสมาธิ เธอจะพบว่าเธอไม่มีร่างกาย เธอรู้ว่าเธอมีตัวตนอยู่แต่ไม่ใช่ร่างกาย เธอไม่พบว่ามีร่างกายใดๆ เธอไม่พบร่องรอยใดๆ ของสสารทางวัตถุที่เราเรียกว่าเนื้อหนัง กระดูก ร่างกาย เส้นผมหรืออะไรก็ตาม มันมีแต่แสงเต็มไปหมดเท่านั้น มันมีแต่พระเจ้าเท่านั้น นั่นก็คือตอนที่เราได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าเราคือพระเจ้า ว่าพระเจ้าเท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในวิหารหลังนี้ และในท้ายที่สุดวิหารนั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน มีเพียงการตระหนักรู้เช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้เรามีความสุข มีความสุขอย่างแท้จริง มิฉะนั้นแล้วไม่ว่าเราจะอ่านไบเบิลมามากเท่าไร ไม่ว่าครูอื่นๆ มากมายเท่าไรได้บอกเราว่าเราเป็นพระเจ้า เราจะไม่มีวันเชื่อได้ เราจะไม่มีวันรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นบุตรของพระเจ้าหรืออาณาจักรของพระเจ้านั้นอยู่ภายในตัวเธอ
เราอ่านไบเบิลทุกวันเราจำไบเบิลได้ขึ้นใจ เราอาจจะสามารถท่องไบเบิลได้จากหน้าแรกจนถึงประโยคสุดท้าย แต่ก็ยังคงไม่รู้จักพระเจ้า เราสวดถึงพระเจ้าทุกวัน สวดถึงพระเจ้าที่เราไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำเพื่อให้ตอบคำถามของเรา ให้สนองข้อเรียกร้องของเรา ให้ตอบความปรารถนาของเรา และตลอดเวลาเราก็เป็นสิ่งนั้น เราเป็นคนที่เรากำลังสวดถึง บางครั้งเราก็โกรธพระองค์ เพราะเราคิดว่าพระองค์ไม่ได้ตอบเรา พระองค์ไม่ได้สนองข้อเรียกร้องของเรา เราจะไม่โทษ ติเตียนอีกต่อไปถ้าเพียงแต่เรารู้ว่าเราคือพระเจ้า เราจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสวดอีกต่อไป อะไรก็ตามที่เราคิดเราก็จะมี อะไรก็ตามที่เราต้องการเราจะได้มา แต่เราก็จะไม่ต้องการอีกต่อไป
ในเวลานั้นเราสามารถพูดได้ว่า พระเจ้าคือคนเลี้ยงแกะของฉัน ฉันจะไม่มีความต้องการเพราะฉันสมปรารถนาแล้ว ไม่สำคัญว่าเราขับรถเมอร์ซีเดส เราขี่จักรยานหรือเราเดิน เราก็จะมีความสุขมาก เราจะมีความสมปรารถนา เรามีความอุดมสมบูรณ์อยู่ภายใน จนไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราไม่มีความสุขได้ แม้ถ้าเราเป็นกษัตริย์หรือเป็นขอทาน เราก็จะมีความสุขเท่ากันไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ เพราะเรารู้จักความสุขจริงๆ ในเวลานั้นความสุขก็คือเรา และนั่นก็คือสิ่งที่การรู้แจ้งจะนำมาให้ มันไม่ใช่เป็นทฤษฎีที่เราควรจะฟังมันคือประสบการณ์ มันคือความรู้มันคือการตระหนักรู้ซึ่งเราจะต้องให้ได้มา มิฉะนั้นแล้วเราจะไม่สามารถเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องการเข้าใจ มิฉะนั้นแล้วเราจะเข้าใจซึ่งกันและกันผิดๆ ต่อไปและทุกข์ทรมานมากไม่ว่าจะเป็นในความสัมพันธ์ส่วนตัว ในการติดต่อทางธุรกิจหรือในการติดต่อที่เป็นความรักกับพระเจ้า เราจะไม่มีความเข้าใจและความรักอันแท้จริงซึ่งยิ่งใหญ่มากจนถึงกับทำให้เราสามารถให้อภัยศัตรูของเรา เพราะในเวลานั้นเราจะตระ หนักได้ว่าไม่มีศัตรูใดๆ
เราอ่านไบเบิลมามากมาย อย่างเช่น เธอจะต้องให้อภัยศัตรูของเธอ รักเพื่อนบ้านของเธอ แต่เราจะไม่มีวันเข้าใจว่าทำไม จนกระทั่งเราได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าเราคือใคร หรือเราคืออะไร และในตอนนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายอีกต่อไป ความรักจะไหลออกมาจากตัวเรา แสงจะล้อมรอบตัวเรา เรากลายเป็นสิ่งนั้น เรากลายเป็นความรัก เรากลายเป็นแสงเรากลายเป็นสิ่งที่เราต้องการอยู่เสมอที่จะเป็น เรากลายเป็นสิ่งที่เราสวดขออยู่เสมอ เราเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า ด้วยเหตุนี้อาจารย์อย่างเช่นพระเยซู เราบูชาท่านเพราะพระองค์มีความเป็นพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงชื่นชมในตัวพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์มีความเป็นพระเจ้า พระองค์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจินตนาการว่าพระเจ้าจะเป็น แต่เราสามารถเป็นเช่นนั้นได้เหมือนกัน
พระเยซูได้บอกเราไว้ และเราจะต้องเชื่อพระองค์ๆ ไม่มีเหตุผลที่จะโกหกเรา พระองค์ไม่ได้เอาเงินจากใคร พระองค์ไม่ได้สร้างโบสถ์หรือบ้านในขณะนั้นเสียด้วยซ้ำ พระองค์เดินๆ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ พระองค์ไม่มีเหตุผลเลยที่จะโกหกวิญญาณใดๆ ในโลกนี้ พระองค์ได้บอกพวกเราว่า: อะไรก็ตามที่ฉันทำได้ เธอก็ทำได้เช่นกัน พวกเธอทั้งหมดคือบุตรของพระเจ้า พระองค์ได้กล่าวไว้เช่นนั้น เราจะต้องเชื่อพระองค์ ตอนนี้สิ่งเดียวเท่านั้นที่พวกเราจะต้องทำก็คือตระหนักในสิ่งที่พระองค์ได้พูดไว้ พิสูจน์ให้ตัวเราทราบเพราะพระองค์ได้สัญญาในเรื่องนั้นไว้แล้ว เราจะต้องค้นหาว่าจะต้องทำอย่างไร จะตระหนักรู้ในคำสัญญาเหล่านี้ได้อย่างไร นี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดของการรู้แจ้ง เรียบง่ายมาก


ผู้ที่โชคดีคือผู้ที่ค้นพบคำสอนอันแท้จริง


การรู้แจ้งนั้นอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในตัวเรา อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในมือ “อยู่ในมือ” หมายความว่าเราสามารถได้มันมาอยู่เสมอ มันอยู่ไม่ไกลขอเพียงให้เรารู้ว่าจะทำอย่างไร อาจารย์ในสมัยโบราณได้ตายจากไปแต่คำสอนของพวกเขาเหล่านั้น เชื้อสายสืบทอดแห่งการรู้แจ้งของพวกเขาได้หลงเหลืออยู่บ้าง ณ ที่ใดที่หนึ่งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ไม่จำเป็นว่ามันจะยังคงหลงเหลืออยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ไม่จำเป็นว่ามันจะยังคงหลงเหลืออยู่ในพุทธคยา ประเทศอินเดีย มันอยู่ลึกลงไปในพื้นแผ่นดินเหมือนอย่างแม่น้ำ มันไปทั่วทุกหนแห่ง มันแตกกิ่งก้านสาขาออกไป มันหลบซ่อนตัวอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วมันก็โผล่ออกมายังที่ใดที่หนึ่งอย่างน่าประหลาดใจ ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาว่าในขณะนี้แม่น้ำนั้นได้ผุดขึ้นมาอยู่ ณ ที่ใด และไปให้ถึงแหล่งของแม่น้ำแห่งชีวิต โชคดีสำหรับผู้ที่รู้ว่าแม่น้ำนั้นได้ผุดขึ้น ณ ที่ใดหลังจากที่มันหลบซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน หรือไหลไปยังมุมต่างๆ ของโลก
ทำนองเดียวกันกับคำสอนของอาจารย์ในอดีต คำสอนเหล่านั้นไม่ได้หายสาบสูญไป เมื่อใดที่เราพร้อมเราก็จะพบแม่น้ำนั้นอีกครั้งหนึ่งโดยผ่านเพื่อนของเราบางคน ผู้ที่สนิทสนม บางครั้งก็โดยเหตุการณ์ที่ตลกมาก ความบังเอิญที่แปลกประหลาดมาก เราก็จะค้นพบแม่น้ำแห่งคำสอนนั้นอีกครั้งหนึ่ง บางครั้งมันอาจจะง่ายมาก ค้นพบในซุปเปอร์มาร์เก็ต บางครั้งมันก็ยากกว่านี้ เราต้องไปยังภูเขาหิมาลัย บางครั้งเราก็พบมันในห้องสมุดหรือในร้านขายลูกกวาด ใครจะไปรู้ได้? วิธีการทำงานของพระเจ้านั้นลึกลับมากๆ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเราเสมอ ไม่จำเป็นว่าพวกเราทั้งหมดจะต้องไปยังภูเขาหิมาลัยหรือที่ใดที่ห่างไกลมากๆ เพื่อที่จะค้นพบการรู้แจ้ง พระเจ้าได้จัดการด้วยวิธีการต่างๆกันสำหรับพวกเราแต่ละคนตามความปรารถนาของเรา ตามความจริงใจของเรา ตามโชคชะตาของเราซึ่งเขียนไว้ในหนังสือของจักรวาล เราอาจจะได้พบโอกาสแห่งการรู้แจ้ง ณ ที่นี้ หรือเราอาจจะได้พบโอกาสแห่งการรู้แจ้ง ณ ที่อื่น
ฉันก็นับว่าโชคดีเหมือนกันที่ได้พบแม่น้ำที่ผุดขึ้นมาใหม่ และฉันก็ได้ดื่มน้ำแห่งชีวิตนี้ด้วยเหมือนกันซึ่งมีรสอร่อย ฉันรู้ว่ามันรสอร่อยเพราะฉันได้ชิมมันมาแล้ว ฉันจึงได้กลับมาบอกเธอ ฉันสามารถแสดงให้เธอรู้ว่าจะไปเอาน้ำนั้นมาได้จากที่ไหน และให้เธอได้ลิ้มชิมด้วยตัวเธอเอง (เสียงปรบมือ) เป็นเพียงแต่ว่าฉันได้พบมันเป็นคนแรก พบมันก่อนเธอ อาจจะเป็นเธอที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ได้ที่จะมาบอกฉัน ใช่แล้ว แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ก็ได้เลือกผู้หญิงตัวเล็กๆ ง่ายที่จะขนส่ง (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เพราะของชิ้นเล็กๆ ไปได้ไกล เป็นการง่ายสำหรับฉันที่จะสอดแทรกเข้าไปยังทุกที่ ค้นหาแม่น้ำให้เธอ เพราะฉะนั้นอย่าได้ถามว่า “ทำไมจึงเป็นฉัน?” ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) เพียงแต่ว่าจะต้องมีใครบางคนที่ค้นพบอะไรบางอย่างด้วยวิธีการบางอย่าง ณ ที่ใดที่หนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง
ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องค้นพบของอย่างเดียวกันในเวลาเดียวกัน เหมือนอย่างไอน์สไตน์มีทฤษฎีของเขา และเขาก็เป็นคนเดียวเท่านั้น ยกตัวอย่าง นิวตัน คนๆ เดียวก็พอเพียงแล้ว แล้วเขาก็สามารถแบ่งปันความรู้ของเขากับโลกทั้งโลกได้ และโลกทั้งโลกก็จะได้รับประโยชน์ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องมีไอน์สไตน์ 2 คนหรือนิวตัน 2 คน มันอาจจะมากเกินไปถ้าเรามีดวงอาทิตย์ 2 ดวง มันจะร้อนเกินไป แคลิฟอร์เนียนั้นร้อนจริงๆ ในฤดูร้อน สมมุติว่าเรามีดวงอาทิตย์ 2 ดวง มันอาจจะมากเกินความจำเป็น เพราะฉะนั้นดวงเดียวก็พอแล้ว เอาละฉันก็อยู่ที่นี่แล้วฉันมาจากที่ไกลเพื่อที่จะนำข่าวนี้มาให้เธอ และถ้าหากเธอต้องการที่จะรับมันไว้ ถ้าเธอต้องการค้นพบในเรื่องนี้เราก็เต็มใจเป็นอย่างมากที่จะแบ่งปันมันกับเธอ ไม่มีการคิดเงิน ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่มีเชือกมาผูกมัด ไม่มีทั้งก่อนหลังและในระหว่าง ก็เป็นแบบนี้เรียบง่าย (เสียงปรบมือ)
นับเป็นเวลานานมาแล้วที่ฉันได้ปรากฏในที่สาธารณะแบบนี้ ฉันก็ได้ปรากฏตัวแต่เฉพาะในหมู่เพื่อนพี่-น้องบำเพ็ญ ฉันไม่ได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะจริงๆ แบบนี้ เพราะฉะนั้นฉันจึงคิดว่าคำพูดที่คารมคมคายของฉันได้หายไป แต่มันเรียบง่ายมาก บางครั้งฉันไม่รู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้องพูด ฉันรู้สึกว่าพวกเธอทั้งหมดก็เข้าใจอยู่แล้ว พวกเธอทั้งหมดทราบดีอยู่แล้ว เพราะพวกเธอทั้งหมดเป็นพระเจ้า ฉันกำลังนั่งอยู่ที่นี่มองดูพระเจ้าทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ฉันจึงรู้สึกมีความสุขมาก ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูด แต่ในกรณีที่เธอมีคำถามใดๆ ฉันก็อาจจะมีโอกาสได้สาธยายให้มากขึ้นเพื่อคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นขออย่าได้เกรงใจที่จะถามหรืออาจจะแบ่งปันความรู้ของเธอกับฉัน


คำถาม-คำตอบ


พิธีกร: นับเป็นเกียรติที่ได้มีอาจารย์ผู้รู้แจ้งซึ่งเราสามารถถามคำถามและได้รับคำตอบที่แท้จริง ท่านคือผู้ที่รู้สัจธรรม และฉัน นักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยเออร์วีนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มีอาจารย์ผู้รู้แจ้งในสถานศึกษาของเรา
ถาม: ท่านอาจารย์โปรดกรุณาอธิบายถึงแหล่งดั้งเดิมของการบำเพ็ญสมาธิวิถีกวนอิมและจะบำเพ็ญได้อย่างไร?
ตอบ: ตามที่ฉันได้กล่าวไว้ ในตอนต้นมันมาจากพระเจ้า นับ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ นับตั้งแต่การสร้างโลกได้เกิดขึ้น เนื่องจากเราเริ่มเล่นละครแห่งชีวิต พระเจ้าจึงได้ประทานหนทางนี้ให้แก่เราเพื่อที่จะกลับไปยังพระองค์ นั่นก็คือที่เริ่มต้นของมัน ส่วนเรื่องที่ว่าจะบำเพ็ญอย่างไร ถ้าหากเธอสนใจ ฉันจะอธิบายให้ละเอียดเพิ่มขึ้นในภายหลังหากเธออยู่ต่อ จะต้องอธิบายให้มากขึ้นในรายละเอียด เธอจะได้ไม่งุนงงสับสนเมื่ออยู่ที่บ้านถ้าหากฉันไม่อยู่ เธอจะต้องรู้ในครั้งเดียวและตลอดไป แล้วเธอก็จะไม่มีวันลืมมันได้อีกต่อไป เธอสามารถทำได้ด้วยตัวเธอเองที่บ้าน ไม่ว่าครูจะตายไป มีชีวิตอยู่ อยู่ที่ตรงนี้หรือที่ตรงนั้น หรือจะไม่มีวันได้พบอีก เพราะฉะนั้นเธอจะต้องเรียนรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน มันกินเวลาไม่นานอาจจะ 2-3 ชั่วโมง เพื่อที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่นั่นก็เพื่อตลอดชีวิต
เราไม่มีเวลามากนักที่นี่ ฉันขอบอกเธอเพียงย่อๆ ว่าธรรมวิถีกวนอิมนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นธรรมวิถี มันเป็นพลังที่มีอยู่โดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นพลังของพระเจ้าเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าเราคือพระเจ้า เพราะเรามีพลังพระเจ้านั้น ในเวลาประทับจิตอาจารย์เพียงแค่ช่วยให้เธอจำมันได้ และเธอจะจำมันได้ทันที และเธอจะรู้สึกมันได้ เธอจะรู้สึกได้ถึงพลัง บางครั้งมันก็ทำให้เธอสั่นสะเทือนแต่ต่อมาเธอก็จะสงบลง เพราะเธอรู้ว่าเธอคือพระเจ้า ในตอนเริ่มต้นมันอาจจะตื่นเต้น แต่ในภายหลัง “มันโอเค มีอะไรหรือเปล่า? ทุกคนคือพระเจ้า ไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร” (เสียงหัวเราะ)

ถาม: ทำไมจึงจำเป็นที่จะต้องล้างกรรมในอดีต?
ตอบ: มันไม่จำเป็นถ้าเราต้องการมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไป แต่ถ้าหากเราต้องการกลับไปยังที่ที่เราจากมา เราก็จะต้องชดใช้หนี้ทั้งหมดไม่ว่าจะด้วยความทุกข์หรือด้วยยาแห่งการรู้แจ้ง ทันทีที่เรารู้แจ้งกรรมในอดีตก็จะถูกลบล้างไป แต่กรรมในปัจจุบันจะยังคงดำเนินต่อไปกรรมในอนาคตจะไม่ดำรงอยู่ และด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถเป็นอิสระที่จะกลับไปยังอาณาจักรของพระเจ้า สิ่งที่ทำให้เราอยู่ที่นี่ก็คือการสะสมของกรรมในอดีต กรรมหมายความว่าอะไร? มันเป็นคำสันสกฤตสำหรับเหตุและผล สำหรับสิ่งที่เราเรียกว่า หว่านพืชอย่างไรก็จะได้รับผลเช่นนั้น ในคัมภีร์ไบเบิล เราได้หว่านการกระทำทั้งดีและเลวนับเป็นพันๆ ล้านๆปี นับตั้งแต่เริ่มต้น เราจึงได้ดำรงอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะเราเฝ้าจ่ายและยืมและจ่ายและชดใช้ตลอดเวลา เราได้กลับมาเพื่อที่จะชดใช้หนี้ในอดีต เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะให้หนี้หมดไปเพื่อที่จะเป็นอิสระจากพันธะเราจึงต้องลบล้างกรรมในอดีต สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราสามารถลบล้างกรรมในอดีตในครั้งเดียวและทั้งหมดก็คือการรู้แจ้ง ทันทีที่เรารู้แจ้งอดีตก็จะหายไป เหมือนอย่างเธอเปิดไฟไม่สำคัญว่าความมืดนั้นได้อยู่ในห้องนี้เป็นเวลากี่พันปีในพริบตามันก็จะหายไป ไม่มีหนทางอื่นใดที่เราจะสามารถลบล้างกรรมในอดีตได้เพราะมันมากเกินไป มันมีมากเกินไป ดังนั้นการรู้แจ้งจึงมีความจำเป็นมาก
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ฉันรักท่านมาก ฉันอยากจะถามท่านถึงเรื่องการค้นคว้าที่ใช้สัตว์ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้? ท่านคิดว่าการค้นคว้าโดยการใช้สัตว์นั้นปราศจากศีลธรรมจรรยาหรือเปล่า?
ตอบ: เธอหมายถึงเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์ โดยการทด ลองกับสัตว์ก่อนใช่ไหม? ใครที่ถาม? (คนที่ถามคำถามไม่ได้เปิดเผยตัวเขา เพื่อที่จะทำความกระจ่างให้กับคำถามของท่านอาจารย์) เอาละ เธอต้องการให้ฉันพูดอะไรล่ะ? เธออยากจะให้ฉันสร้างความขุ่นเคืองให้กับระบบการแพทย์ทั้งหมดหรือ แล้วให้พวกเขามาฆ่าฉันหรือ? (เสียงหัวเราะ) บางคนก็พูดว่ามันจำเป็นที่จะต้องทดลองกับสัตว์เพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ถ้าหากเจตจำนงมีความบริสุทธิ์เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินผู้ใด แต่จากจุดยืนของสัตว์มันเป็นสิ่งที่ขาดความปรานีมาก เป็นสิ่งที่ไม่มีความเมตตาในการกระทำ ฉันหวังว่าเราจะไม่ต้องทำเรื่องนั้น ฉันหวังว่าเราทั้งหมดจะได้รู้แจ้งและรักษาตัวเราจากภายใน (เสียงปรบมือ)
ถาม: ฉันมีดวงวิญญาณหรือไม่? ถ้าหากไม่มี การกลับชาติมาเกิดเป็นไปได้อย่างไร?
ตอบ: ในไบเบิลกล่าวไว้ว่าเธอมีดวงวิญญาณ เพราะฉะนั้นเธอก็จะต้องมีสักดวง (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ในการกลับชาติมาเกิด อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่เป็นดวงวิญญาณที่กลับชาติมาเกิด ดวงวิญญาณนั้นมีชีวิตอยู่ตลอดกาล ไม่ตาย ไม่ดำรงชีวิต ไม่กลับชาติมาเกิด มันเป็นประสบการณ์ของชีวิต เป็นการเชื่อมประสานระหว่างร่างกายและจิตวิญญาณเมื่อเรากำลังทดลองในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตที่นี่ ซึ่งไปยึดมั่นว่าเราดำรงอยู่ ที่กลับชาติมาเกิด และถ้าเราไม่สลัดตัวเราให้หลุดพ้นจากการทดลองเช่นนี้ซึ่งเราเรียกว่าตัวเรา เราก็จะกลับชาติมาเกิด อันที่จริงแล้วเราไม่ได้กลับชาติมาเกิด เราไม่เคยตาย เราเพียงแค่เจ็บป่วย เราเพียงแค่เป็นโรคจากเหตุการณ์เหล่านี้ จากภัยพิบัติเหล่านี้ซึ่งบังเอิญมาผูกมัดเราไว้ ถ้าเราไม่ตัดตัวเราให้สะบั้นออกไปจากสิ่งนั้น ก็แน่นอนละที่เราจะมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นตลอดกาล เหตุและผลเปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหว เพิ่มเติม ลดน้อยลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เราจึงพูดว่าเรากลับชาติมาเกิด ถ้าหากเรารู้แจ้งไม่พอก็เป็นแบบนั้นแหละ
ถาม: ท่านอาจารย์ ถ้าหากคนคนหนึ่งต้องการแสดงออกในการทำงาน แต่พบว่าถูกปิดกั้นโอกาส เราควรจะมีท่าทีในการทำงานอย่างไร และเราควรจะทำเช่นไร? ความทะเยอทะยานในสถานทำงานนั้นผิดหรือไม่? ฉันจะรู้สึกขอบคุณที่ท่านให้แสงสว่างในเรื่องนี้
ตอบ: อา! เรากลับไปสู่ชีวิตจริง ชีวิตของการทำงาน (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ความทะเยอทะยานในการทำงานนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด ความทะเยอทะยานเป็นสิ่งที่จะต้องมีในการทำงาน มิฉะ นั้นแล้วเราจะทำงานได้อย่างไร เราจะก้าวหน้าได้อย่างไร? เธอจะทำให้นายและตัวเธอพอใจได้อย่างไร? เธอจะทำกำไรให้กับบริษัทของเธอได้อย่างไร? นั่นคือหน้าที่ มันเป็นหน้าที่ที่จะต้องทะเยอทะยาน การทะเยอทะยานไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเหยียบหัวคนอื่นเพื่อที่จะไต่เต้าไปข้างหน้า ความทะเยอ ทะยานและความชั่วร้ายหรือความอิจฉานั้นแตกต่างกัน เราทะเยอทะ ยานได้ เราสามารถพัฒนาตัวเราได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่ต้องไปกดขี่ผู้อื่น ถ้าเรารู้สึกถูกข่มในระดับหนึ่ง เราก็จะต้องหาเหตุผลที่คนอื่นนั้นกดขี่เราว่าเรานั้นมีความสามารถไม่พอหรือเปล่า ว่ามันเป็นปัญหาส่วนบุคคลหรือเปล่า หรือเป็นคนอื่นที่ชั่วร้ายเกินไปกับเราหรือเปล่า ถ้าเราทำได้ก็ขอให้พูดกับคนๆ นั้น ถ้าเรารู้ว่าเราถูก รู้ว่าคนคนนั้นผิดแล้วเราก็พูดกับคนนั้น ถ้าหากเขาหรือหล่อนดีขึ้นก็ขอให้ยกโทษให้กับเขาหรือหล่อน ถ้าหากเขาไม่ดีขึ้น อย่างไรก็ขอให้ยกโทษให้เขาทำงานของเธอต่อไป เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ในชีวิตนี้ นั่นคือความจริง แม้กระทั่งความสัมพันธ์ส่วนบุคคล บางครั้งสามีและภรรยาก็อิจฉาซึ่งกันและกัน ถ้าหากคนๆ หนึ่งนั้นประสบผลสำเร็จมากเกินไป นั่นคือปัญหาของสมองมนุษย์มันไม่ใช่ปัญหาของวิญ ญาณ ไม่ใช่ปัญหาของคนรู้แจ้ง (เสียงปรบมือ)

วิญญาณต้องการอาหารหล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณ


ถาม: ทำไมจึงจำเป็นต้องนั่งสมาธิวันละ 2 ชั่วโมงครึ่ง?
ตอบ: ก็เหมือนกับที่เธอต้องกินแฮมเบอร์เกอร์ 2 หรือ 3 ชิ้นอยู่เสมอ (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ เสียงปรบมือ) นั่นก็คือปริมาณของอาหารที่อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า ซึ่งเธอกินทุกวันเพื่อให้ร่างกายของเธอมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นจึงมีอาหารหล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณส่วนหนึ่งซึ่งเธอจะต้องกินทุกวันเพื่อที่ จะให้คุณสมบัติที่เป็นเหมือนพระเจ้านั้นแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นแต่สิ่งนี้ได้ถูกกำหนดเอาไว้ หมอได้กำหนดปริมาณที่แน่นอนเอาไว้ มันอยู่ในราวๆนี้ มันไม่ได้เข้มงวดมากนัก
นอกจากนั้น เราสามารถที่จะทำสมาธิในเวลานอนได้ด้วยเช่นกัน เราสามารถทำสมาธิในรถบัส ในเครื่องบิน ในห้องน้ำ ขออภัย (เสียงหัวเราะ) ใช่ๆ เราทำแบบนั้นได้ เราสามารถทำงานหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน มีเวลาอยู่เสมอที่จะทำสมาธิ ให้ลดรายการที่ไม่น่าชมบางอย่างของทีวีลงไป อ่านเฉพาะสิ่งที่จำเป็นในหนังสือพิมพ์ พูดให้น้อย พูดโทรศัพท์ให้น้อยลง แล้วเธอก็จะมีเวลามาก นอนให้น้อยลง บางครั้งเราไม่ได้นอน เราอยู่ในเตียง พลิกตัวไปมาจนสาย (เสียงหัวเราะ) นั่นคือเวลาที่เราสามารถทำสมาธิได้อย่างยอดเยี่ยมมาก แทนที่จะพลิกตัวไปมาก็ขอให้ทำสมาธิรวบรวมสมาธิก็เท่านั้นเอง ง่ายมาก แทนที่จะคิดเรื่องไร้สาระทั้งหลายก็ขอให้เธอรวบรวมสมาธิ นั่นก็คือการทำสมาธิ เธอไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งลงและไขว้ขาเหมือนอย่างพุทธะ เธอเพียงแต่นอนลงและรวบรวมสมาธิ ฉันกำลังแสดงให้เธอรู้ว่าจะใช้เวลา “เกียจคร้าน” ของเธอได้อย่างไร โอ้ ขอโทษที (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เวลา “ที่ไม่เกิดประโยชน์” ของเธอ หรือเวลาอื่นๆ ที่เธอคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยและไม่ได้ทำอะไร เวลาเหล่านั้นเราสามารถรวบรวมเข้าไว้ด้วยกันและระลึกถึงพระเจ้า ง่ายมาก (เสียงปรบมือ)

ถาม: ท่านเชื่อหรือไม่ว่า สักวันหนึ่งจะมีสันติภาพเกิดขึ้นในโลก?
ตอบ: (ท่านอาจารย์หัวเราะ) เธอเชื่อเช่นนั้นหรือเปล่า? (เสียงหัวเราะ) อาจจะในปี 3000 ก็ได้! ไม่ จะไม่มีวันเกิดสันติภาพในโลกได้เลย เพราะมิฉะนั้นแล้วมันก็ไม่ถูกเรียกว่าเป็นโลก มันจะถูกเรียกว่าเป็นสวรรค์ (เสียงปรบมือ)
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ขอบคุณที่มาอยู่ ณ ที่นี้ ลางสังหรณ์มาจากที่ใด? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะใช้การตัดสินใจอันไหน? บางครั้งฉันก็รู้สึกสับสนงุนงง ฉันมีทางเลือก 2 ทางและบาง ครั้งมันก็ยากมากที่จะตัดสินว่าจะเลือกอันไหน เพราะแต่ละทาง เลือกก็ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของฉัน และฉันไม่รู้จริงๆ ว่าฉันควรจะทำอันไหน? ฉันอยากจะถึงจุดที่ฉันรู้อย่างแน่นอนว่าฉันควรจะตัดสินใจเลือกอันไหน
ตอบ: เรื่องนั้นต้องใช้เวลา ด้วยเหตุนี้เราถึงต้องรู้แจ้งไงล่ะ ด้วยเหตุนี้เราถึงจะต้องให้ได้พลังของปัญญากลับคืนมาซึ่งเราได้ลืมไป เราปล่อยให้ความยุ่งยากทางโลกมากมายเกินไปมาบดบังทัศนะของเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงตัดสินใจไม่ได้ เราไม่สามารถตัดสินใจได้เพราะเราไม่รู้ เราไม่มีความแจ่มชัด ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องให้มีความแจ่มชัด เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งที่เราเก็บเอาไว้ทุกวันก็เพื่อทำให้จิตใจเราโล่งปลอดโปร่งแจ่มชัด เพื่อที่ จะกลับไปยังแหล่งดั้งเดิมให้เป็นเหมือนพระเจ้า แล้วเราก็จะรู้ว่าควรจะทำอะไรที่ดีกว่า มันจะแจ่มชัด มันจะแจ่มชัดมาก
ในขณะเดียวกันถ้าหากเธอไม่ได้นั่งสมาธิมากนัก ถ้าหากเธอไม่ต้องการนั่งสมาธิและถ้าเธอมีลางสังหรณ์ นั่นก็คือสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของสิ่งใดก็ตาม ที่หลงเหลือมาจากสิ่งที่เรียกว่าปัญญาที่เหมือนพระเจ้า บางครั้งมันก็ถูกบดบังด้วยความกังวลทางโลกและความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่รอด แต่บางครั้งมันก็แจ่มชัดนั่นก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าลางสังหรณ์ ถ้าหากเธอไม่ค่อยจะแจ่มชัดนักเธอก็จะต้องเสี่ยงเอา เธอจะต้องใช้ความรู้สึกว่าอันไหนนั้นเหมาะสมกว่า หรืออันไหนมีเปอร์เซ็นต์สูงกว่าแล้วเธอก็ทำไป เธอจะต้องเสี่ยงไม่มีใครที่จะมาบอกเราว่าจะต้องทำอะไร ขอให้สวดถึงพระเจ้าแล้วก็เลือกสักอันหนึ่ง หรือมิฉะนั้นเธอก็ฉีกกระดาษ 2 ชิ้น – อันหนึ่งข้างซ้าย อันหนึ่งข้างขวา แล้วเธอก็เลือกมา 1 อันไม่ว่าวิธีไหนก็เสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องมีปัญญาของเธอเอง พลังอาจารย์ของเธอเอง
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ถ้าหากฉันสวดถึงท่านอย่างจริงใจ ฉันจะได้รับการหลุดพ้นตลอดกาลหรือไม่?
ตอบ: ฉันก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น (ท่านอาจารย์หัวเราะหึๆ) แต่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้นนะ ในขณะที่ถ้าตัวเธอเองรู้แจ้งเธอก็สามารถพาผู้อื่นไปกับเธอได้ด้วย เหมือนอย่างคนเดียวได้รู้แจ้ง ญาติและเพื่อนหลายชั่วโคตรของเธอ แม้กระทั่งสุนัขและแมวก็จะได้รับการหลุดพ้น ถ้าเธอสวดถึงพระเจ้า เธอก็จะได้ตั๋วเพียงใบเดียวเท่านั้นถ้าหากเธอมีความจริงใจจริงๆ เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าเธอมีความจริงใจหรือไม่ บางครั้งมันก็ยากที่จะบอก
ถาม: นรกมีอยู่จริงตามที่ไบเบิลได้บอกไว้หรือเปล่า?
ตอบ: เธอคิดว่าอย่างไรล่ะ? มันมีจริงหรือเปล่า? ขอให้มองดูโลกของเรา แล้วเธอก็จะรู้คำตอบ ไม่จำเป็นที่จะต้องมองไปยังที่อื่น มีตลกเลวๆ เกี่ยวกับนรกอยู่เรื่องหนึ่ง เธออยากฟังไหมล่ะ? อยากหรือไม่อยาก? (ผู้ฟัง: อยาก!) (เสียงหัวเราะ) และอย่าโกรธล่ะ มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งอายุ 18 หรือ 19 ปี กลับมาบ้านร้องไห้ต่อหน้าแม่ของหล่อน “โอ้ มอมมี่ ฉันไม่ต้องการแต่งงานกับจอห์นอีกต่อไป ฉันขอยกเลิกการแต่งงาน!” คุณแม่ก็พูดว่า “ทำไมล่ะจ๊ะที่รัก? ลูกก็หมั้นแล้วนี่ ลูกกำลังจะแต่งงานอาทิตย์หน้า มีปัญหาอะไรหรือ?” เด็กผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า “ลูกไม่ชอบเขาอีกต่อไปแล้วละ เขาเป็นคนนอกศาสนา เขาไม่เชื่อแม้กระทั่งในเรื่องนรก” คุณแม่จึงพูดว่า “อย่ากังวลไปเลยลูกรัก หลังจากแต่งงานแล้ว เขาก็จะเชื่อเอง!” (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) ตลกเลวๆ มันไม่เป็นจริงเช่นนั้นเสมอไปหรอก

ทำไมเราจึงมายังโลกนี้


ถาม: ท่านอาจารย์ ทำไมเราจึงยังคงตกมาที่โลกนี้อีก? ทำไมเราจึงไม่สามารถคงอยู่ในรูปจิตสำนึกที่บริสุทธิ์ดังเดิมสำหรับผู้ที่ตั้งแต่แรกเริ่มไม่ต้องการที่จะมาเกิด ฉันเข้าใจในเรื่องกรรม แต่ว่ากรรมเป็นหนี้และเป็นเจ้าหนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพระผู้สร้างหรือเปล่า? ทำไมพระองค์จึงต้องการให้เราได้รับทุกข์จากกรรมมากเช่นนั้น?
ตอบ: พระองค์ไม่ได้ต้องการ เราต่างหากที่ต้องการ นั่นคือส่วนหนึ่งของการตกลงกัน เพื่อว่าเราจะได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างความเป็นพระเจ้าและความไม่เป็นพระเจ้าเพื่อว่าเราจะได้รู้จักแสงเมื่อเรากลับคืนสู่แสงอีกครั้งหนึ่ง เราจงใจไปสู่ความมืดเพื่อว่าเราจะได้รู้จักแสงซึ่งสว่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่ไม่เคยต้องการไปจากสวรรค์พวกเขาก็ไม่ได้มาที่นี่ มีบางคนอาจารย์บางคนที่ไม่เคยไปจากสวรรค์เลย นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน บางคนจากสวรรค์เพื่อมายังที่นี่ มาสอนเรา บางคนก็ได้กลับชาติมาเกิดหลายครั้งหลายหนและได้กลายเป็นอาจารย์ เรามีทางเลือกของเรา เราเลือกเพราะเราต้องการเช่นนั้น
มีคำตอบมากมายในเรื่องนี้ แต่พูดโดยสรุปมีจุดมุ่งหมายหลัก 2 อย่างที่เรามีกรรม เรื่องแรกก็คือเราต้องการรู้จักพระเจ้า เรามีจุดมุ่งหมายมายังที่นี่โดยมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้ได้รู้จักพระเจ้า มีบางครั้งเรามีชีวิตอยู่ในสวรรค์ซึ่งเต็มไปด้วยแสง ทุกคนเป็นนักบุญ ทุกคนเป็นพระเจ้า แล้วเราก็พูดว่า “พระเจ้า พระเจ้าคืออะไรกัน?” พระเจ้าจึงพูดกับเธอว่า “เธอคือพระเจ้า พระเจ้าคือเธอ พระเจ้าคือสิ่งนั้น” “ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร” พระองค์พูดว่า “เธอคือแบบนี้ มันคือพระเจ้า” แต่วิญญาณก็ไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้และได้ถามพระเจ้าว่า “ฉันจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร? ฉันจะรู้ว่าตัวฉันเป็นพระเจ้าได้อย่างไร?” พระเจ้าได้บอกเขาว่า “ถ้าเช่นนั้นเธอก็ต้องกลายเป็นสิ่งที่แตกต่างจากพระเจ้า แตกต่างจากตัวเธอก่อน แล้วเมื่อเธอมองย้อนหลังเธอก็จะทราบ” ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ลงมายังที่นี่ จุดมุ่งหมายที่เรามายังที่นี่ก็เพื่อจะรู้จักตัวเราให้ดีขึ้น
อีกคำตอบหนึ่งก็คือเนื่องจากการสร้างโลกยังไม่ได้เริ่มต้น ไม่มีอะไรปรากฏในโลกนี้หรือในโลกอื่นๆ พระเจ้าจึงได้สร้างแผนการขึ้น พระองค์ต้องการให้การสร้างโลกนั้นเกิดขึ้นมาให้เป็นจริงขึ้นมาและให้เรามีส่วนร่วม เรามีความสุขที่ได้เล่นทุกส่วนของการออกแบบอันยิ่งใหญ่เพียงเพื่อความสนุกสนาน เพียงเพื่อทำให้ชีวิตมีสีสันมากขึ้น บางคนก็เล่นส่วนของเขาอย่างรู้ตัว และเพื่อจุดมุ่งหมายที่ว่าวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลายเป็นพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาจะได้รู้จักพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า พวกเขาต้องเล่นบทบาทที่แตกต่างกันมากมาย และบทบาทหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับอีกบทบาทหนึ่ง เหมือนอย่างเช่นในภาพยนตร์เธอมีตัวเอก เธอมีตัวประกอบและอะไรแบบนั้น มิฉะนั้นแล้วมันก็จะไม่สำเร็จ ดังนั้นตอนนี้กรรมของเราจึงรู้สึกหนักมากและไม่มีเหตุผลเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนั้นสำหรับเราแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะเราคือพระเจ้า เราไม่ได้เห็นความทุกข์ยาก เราไม่ทราบปัญหา เราไม่ได้มองดูอุปสรรคว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนา
สำหรับเราแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงแค่การละเล่น จนกระทั่งเราได้มาเล่นจริงๆ เราจึงรู้สึกถึงความทุกข์นั้น แต่นั่นก็คือส่วนหนึ่งของเกม ส่วนหนึ่งของแผนของจักรวาล ถ้าเราไม่เล่นบทบาทของเรา เราก็จะไม่ดำรงอยู่ จะไม่มีอะไรที่นี่ ฉันจะไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ เธอจะไม่ได้นั่งอยู่ที่ตรงนั้น เธอจะไม่เป็นคนผมบลอนด์ ฉันจะไม่เป็นคนผมดำ จะมีอะไรล่ะ? ทุกอย่างจะธรรมดามาก มันก็นับว่าดี ด้วยเหตุนี้อาจารย์ที่มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งหลายจึงพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้ดวงอาทิตย์นั้นมีความสมบูรณ์พร้อม พระเยซูได้กล่าวว่าพวกเธอทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า พวกเขาได้ตระหนักว่าไม่มีอะไรที่จะต้องทำ ทุกคนนั้นสมบูรณ์พร้อม แต่เรายังไม่ได้ตระหนักในเรื่องนี้ เราจึงมีความทุกข์ เราจะต้องตระหนักรู้แบบเดียวกันกับที่พวกเขารู้ แล้วเราจึงจะรู้ว่าทำไม แล้วเราจะมองดูความทุกข์ว่าไม่ใช่ความทุกข์ มันยังคงเป็นความทุกข์ มันยังคงเจ็บปวดเมื่อใครบางคนหยิกเธอ แต่เธอเข้าใจว่ามันเป็นเพียงเพื่ออะไรบางอย่าง เธอไม่รู้สึกทุกข์ เธอไม่จมลงไปในความทุกข์ เพียงแต่ลอยขึ้นมาอยู่เหนือความทุกข์

ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ภรรยาของผมได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้เพื่อรับการประทับจิต เธอได้เป็นมังสวิรัติมาเป็นเวลานานแล้ว ผมได้พยายามแต่ก็ทำไม่ได้ ได้โปรดบอกให้ผมทราบด้วยว่าเป็นเพราะเหตุใดและจะทำเช่นไร
ตอบ: สงสัยภรรยาเธอควรที่จะไปการเรียนการทำอาหารมังส วิรัติให้มากขึ้น สามีที่น่าสงสารไม่สามารถที่จะกินได้เมื่อมันไม่อร่อย เพราะฉะนั้นอันที่จริงแล้วการรู้แจ้งก็เริ่มต้นที่นี่ด้วยเหมือนกัน (ท่านอาจารย์ชี้ไปยังท้องของท่าน) ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ที่ตรงนี้ (อาจารย์ชี้ไปยังตาปัญญา) (เสียงหัวเราะ) ตอนที่ฉันได้พบสามีของฉันเป็นครั้งแรก (อดีตสามีของฉัน เขาแต่งงานใหม่แล้ว) ฉันเป็นมังสวิรัติ เขาไม่ได้เป็น เขาเป็นนายแพทย์ เน้นหนักในความเป็นจริง มีชีวิตแบบทางโลกมาก เขาเป็นคนราศรีพฤษภ ในทางตะวันออกเขาอยู่ในราศรีวัวตัวผู้ เพราะ ฉะนั้นเขาจึงเป็นวัวตัวผู้กำลัง 2 ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อในเรื่องเหลว ไหลทั้งหลาย แต่เพราะฉันทำอาหารได้อร่อยมาก เขาจึงกินอาหารทุกวันกับฉัน และเขาก็ไม่ต่อต้านอาหารมังสวิรัติ หลังจากที่ฉันจากเขาไปเพื่อ “ความคิดเพื่อช่วยโลก” (ท่านอาจารย์พูดล้อเล่น) เขาก็ได้รวบรวมสูตรปรุงอาหารทั้งหมดของฉันและทำอาหารให้เพื่อนเขากิน เขามักจะโฆษณาอยู่เสมอๆ ว่า “ภรรยาของฉันเคยทำอย่างนี้ ภรรยาของฉันเคยทำอย่างนั้น และผักทั้งหลายนั้นอุดมไปด้วยวิตามิน” เขาทำเหมือนกับสูตรที่ฉันได้ทิ้งไว้ให้
ถ้าแม้กระทั่งชาวตะวันตก คนเยอรมัน นายแพทย์ที่มีสมองทางวิทยาศาสตร์แบบนั้นสามารถเป็นมังสวิรัติได้ เธอก็สามารถเป็นมังสวิรัติได้ด้วยเหมือนกัน ถ้าหากภรรยาทั้งหลายทำอาหารที่อร่อย เธอก็จะไม่ขาดอะไรไป ยกตัวอย่างเธอกินซุปชามหนึ่ง เช่น ซุปจีน ในซุปมีบะหมี่และเนื้อสัตว์ แทนที่จะใช้เนื้อสัตว์พวกนั้น เธอก็สามารถใช้หมี่กึน เต้าหู้หรือแฮมเจทุกอย่าง ทุกชนิดแม้กระทั่งปลา ทุกอย่างสามารถทำได้เหมือนกันกับอาหารที่ไม่ใช่มังสวิรัติ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญ ฉันเชื่อว่าหนทางไปสู่การรู้แจ้งนั้นต้องผ่านกระเพาะอาหาร เพราะฉะนั้นภรรยาของเธอขอให้ดูแลนิ้วอันมีฝีมือของเธอ ทำอาหารให้สวยและอร่อยเพื่อว่าสามีของเธอจะได้กินกับเธอได้ ผู้หญิงนั้นง่ายกว่า จริงๆ นะ ทันทีที่เธอเชื่ออะไรบางอย่าง เธอก็กินไม่เลือก (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แต่ผู้ชายพวกเขามีความเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่า พวกเขาเน้นในความเป็นจริงมากกว่า ไม่มีอารมณ์อ่อนไหวเหมือนอย่างผู้หญิง ผู้หญิงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความรู้สึก อารมณ์ ความเสน่หา ดังนั้นเมื่อเธอเชื่อ เธอก็จะกินและไม่สนใจว่ามันจะมีรสชาดอย่างไร (เสียงหัวเราะ) แต่ผู้ชายพวกเขาอยู่ในสภาพที่วิกฤตกว่า เพราะฉะนั้นรสชาติจึงต้องมาก่อน จากนั้นจึงจะเป็นการรู้แจ้ง (เสียงหัวเราะ)
ถาม: ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ กรุณาอธิบายความสัมพันธ์ทางด้านจิตวิญญาณของเรากับท่าน หลังจากที่ท่านตายไปแล้ว และคนคนนั้นได้รับการประทับจิตแล้ว การเดินทางกลับบ้านของพวกเรายังคงได้รับการรับรองโดยจิตวิญญาณของท่านหรือไม่?
ตอบ: ได้รับการรับรอง (เสียงปรบมือ) ตามที่ได้กล่าวไว้ตั้งแต่ต้น เราไม่ใช่ร่างกาย เราคือจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นเมื่อร่างกายนี้ไปหรือมาก็ไม่มีความแตกต่าง ไม่มีระยะทางระหว่างเรา และฉันก็ได้บอกเธอแล้วว่าในเวลาประทับจิตได้มีการอธิบายธรรมวิถีให้กับเธอเพื่อเธอจะใช้มันได้ตลอดชีวิต ไม่มีอะไรที่จะเข้ามาขวางกั้นได้อีกต่อไป เว้นเสียแต่ว่าเธอจะไม่ต้องการมันและเธอจากไป แต่เมล็ดพันธุ์ก็ยังคงมีอยู่สำหรับชาติหน้า
ถาม: ท่านอาจารย์ ลูก 5 คนของฉันได้รับการประทับจิตเข้าสู่ธรรมวิถีกวนอิมแล้ว แต่ฉันค่อนข้างมีอายุมาก การรู้แจ้งมีไว้สำหรับทุกคนหรือเปล่า? มีเงื่อนไขที่จำเป็นอะไรบ้างหรือว่าความจริงใจเป็นบรรทัดฐานอย่างเดียวเท่านั้น
ตอบ: ใช่ มีความจริงใจก็พอเพียงแล้ว แต่เมื่อคนมีอายุมากเกินไปอย่างเช่นผ่านอายุระดับหนึ่งไป บางครั้งกายเนื้อและความจำก็ไม่เฉียบแหลมอีกต่อไป เช่นนี้เราก็อาจจะบอกพวกเขาว่าให้กลับมาอีกครั้งในคราวหน้าในชาติหน้า หรือเพียงแค่บำเพ็ญวิถีสะดวกก็สามารถช่วยเขาหรือหล่อนได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการประทับจิต แต่นั่นก็เป็นการรับประกันสำหรับคนๆ เดียวเท่านั้น ส่วนการประทับจิตนั้นรับประกันสำหรับหลายชั่วโคตรและนั่นก็คือข้อแตกต่าง ด้วยการประทับจิตและการบำเพ็ญด้วยตัวของเธอ เธอยังสามารถกลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้งและช่วยวิญญาณได้มากมายด้วย
ถาม: ท่านอาจารย์ทำไมศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิด? คัมภีร์ไบเบิลได้พูดถึงเรื่องการกลับชาติมาเกิดหรือไม่?
ตอบ: คัมภีร์ไบเบิลได้พูดไว้ แต่ได้ถูกตัดข้อความออกไป เมื่อมีคนถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นเอเลียส หรือเปล่า ว่าพระองค์เป็นบุคคลคนนั้นคนนี้ เป็นอาจารย์ในอดีตหรือเปล่า หมาย ความว่าพระองค์เป็นอาจารย์ในอดีตเหล่านั้นที่กลับชาติมาเกิดหรือเปล่า พระองค์ก็นิ่งเงียบ นั่นเป็นตอนหนึ่งของไบเบิลที่คนลืมตัดทิ้งไป สมมุติว่าการกลับชาติมาเกิดไม่มีจริงพระเยซูก็จะพูดว่า “ไม่ๆ ไม่มีเรื่องอย่างว่า เรื่องที่อาจารย์กลับชาติมาเกิด ฉันคือตัวฉันเท่านั้น ครั้งเดียว ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีก่อน ไม่มีหลัง” พระองค์นิ่งเงียบ และในสมัยนั้นการนิ่งเงียบก็หมายถึงโอเค การตกลง การยอมรับ ไม่อย่างนั้นแล้วพระเยซูก็คงจะได้อธิบายเพื่อที่จะไม่ทำให้ลูกศิษย์ของพระองค์เข้าใจผิด แต่พระ องค์นิ่งเงียบ
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ถ้าคนคนหนึ่งได้รับการประทับจิตแล้ว 5 ชั่วโคตรจะได้รับการช่วยเหลือ แล้วสมาชิกครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งกินเนื้อสัตว์และดื่มแอลกอฮอล์ จะได้รับการช่วย เหลือด้วยหรือเปล่า?
ตอบ: พวกเขาก็จะได้รับการช่วยเหลือเช่นกันอย่างน่าเศร้าใจแต่นับว่าโชคดี (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) นั่นก็คือว่าถ้าหากพวกเขาจงใจไม่ต้องการการหลุดพ้นอาจารย์ก็จะไม่บังคับ แน่นอน เป็นเพราะว่าแต่ละคนนั้นคือพระเจ้า เราจะต้องจำไว้ว่าพวกเราแต่ละคนคือพระเจ้า ไม่มีใครสามารถบอกพระเจ้าว่าให้ทำอะไรได้แม้กระทั่งพระเจ้าองค์อื่น เขาจะเลวอย่างไร เขาจะดีอย่างไรนั่นก็คือการตัดสินใจของเขาเอง เส้นทางในชีวิตของเขาเองที่จะเลือก เขาเลือกที่จะเล่นบทบาทนี้ แม้ว่าเขาเลวก็นับว่าเขาโอเคด้วยเหตุนี้ไบเบิลจึงได้บอกเราว่าจงอย่าตัดสิน
ถาม: ก่อนที่เราจะกลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้ง เราได้ตั้งปณิธาณว่าจะทำสิ่งนี้ทำสิ่งนั้นเพื่อมนุษย์ และเราตั้งปณิธาณว่าจะรับใช้พวกเขา แต่หลังจากที่เราได้กลายเป็นอาจารย์ผู้รู้แจ้ง แล้ว เราก็เปลี่ยนใจด้วยเหตุผลบางประการ เพราะตอนนี้เรามีการมองที่แตกต่างออกไป เราเป็นอิสระที่จะไม่ปฏิบัติตามที่เราได้ตั้งปณิธาณเอาไว้หรือไม่ หรือเราจะต้องปฏิบัติตามที่เราได้ตั้งปณิธาณเอาไว้เนื่องด้วยกฎแห่งกรรม?
ตอบ: เรามีอิสระ เรามีอิสระที่จะทำสิ่งที่เราต้องการ
ถาม: สวัสดีท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ โปรดแสดงทัศนะของท่านในเรื่องโลกในฐานะที่เป็นสรรพสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งใช้ความรักช่วยนำพวกเราให้กลับไปยังสวรรค์
ตอบ: ทุกอย่างถูกสร้างมาจากพระเจ้า ไบเบิลได้กล่าวไว้เช่นนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นมาจาก “พระวจนะ” ซึ่งหมายถึงแรงสั่นสะเทือนของจักรวาล และแรงสั่นสะเทือนนั้นคือพระเจ้า สิ่งนั้นคือธรรมวิถีกวนอิม นั่นคือสิ่งที่เราสอนให้เธอปรับตั้งเสียงเข้าหา ปรับเข้าหาแรงสั่นสะเทือนของจักรวาล เข้าหาแหล่งของการสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งถ้าเราเป็นมนุษย์ ถ้าเรามาจากพระเจ้า โลกอันยิ่งใหญ่หรือทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลก็เช่นกัน มันมีคุณสมบัติของพระเจ้าด้วยเหมือนกัน แต่อาจจะเป็นในรูปแบบที่แตกต่างออกไปหรือมีความหนาแน่นที่แตกต่างออกไป ดังนั้นในกรณีนั้นโลกจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกันตามที่เธอได้กล่าวถึง เราอาศัยอยู่ที่นี่ เราอาศัยโลกในการมีชีวิตอยู่ แน่นอนเราจะต้องเคารพมารดาผู้ยิ่งใหญ่นี้ (เสียงปรบมือ)

ชดใช้กรรมในความฝัน


ถาม: เราชดใช้กรรมในความฝันของเราหรือไม่? เราชดใช้กรรมได้อย่างไร?
ตอบ: เราใช้กรรมในความฝันของเราก็ต่อเมื่อเป็นพระกรุณาของพระเจ้า มิฉะนั้นแล้วส่วนใหญ่เราจะต้องชดใช้ทางด้านร่างกายเหมือนอย่างตาต่อตา ฟันต่อฟัน เมื่อได้รับการประทับจิตหรือได้รู้แจ้ง เราก็จะมีชีวิตอยู่ภายใต้พระกรุณาของพระเจ้า เราไม่มีชีวิตอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมมากนักอีกต่อไป ยกเว้นกรรมลิขิตบางอย่างที่มีอยู่แล้ว เหมือนอย่างเช่นเราจะต้องมีกรรมที่แน่นอนบางอย่างเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในชาตินี้ เราก็จะต้องมีกรรมนั้นต่อไป แต่มันก็สามารถลบได้ในระดับหนึ่ง มันสามารถทำให้เบาบางลง สามารถทำให้ลดน้อยลงได้มาก หรือสามารถชดใช้ในความฝัน เฉพาะในเวลานั้นเท่านั้น
ถาม: ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นถ้าบุคคลหนึ่งได้รับการประ ทับจิตแต่ไม่สามารถนั่งสมาธิตามที่กำหนดไว้ 2 ชั่วโมงครึ่งได้
ตอบ: ถ้าเช่นนั้น เขาก็คงจะอยู่ในชั้นเรียนเป็นระยะเวลาหนึ่ง (เสียงหัวเราะ) เหมือนอย่างพวกเธอที่เป็นนักเรียน เกิดอะไรขึ้น ถ้าเธอลงทะเบียนเรียนวิชาหนึ่ง แล้วเธอก็เรียนไม่ดี? เธอก็จะต้องอยู่ในชั้นนั้น (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) แทนที่จะได้ ‘เอ’ เธอก็จะได้ ‘เจ’ มันก็เป็นแบบนั้น แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงเป็นนักศึกษาวิทยาลัยอยู่ เธอไม่ใช่เป็นเด็กนักเรียนประถมหรือเด็กอนุบาล อย่างน้อยที่สุดเธอก็เป็นนักเรียนวิทยาลัย เรื่องนั้นไม่มีข้อสงสัยใดๆ เพียงแต่มีความเป็นนักศึกษาน้อยกว่า
ถาม: ฉันอยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับบุคคลที่ถ่าย ทอดธรรมวิถีกวนอิมให้กับท่าน เขาเป็นพระเยซูกลับชาติมาเกิดหรือว่าเป็นตัวท่าน? เขาหรือหล่อนมีชื่อที่ท่านจะแบ่งปันให้พวกเราทราบได้ไหม?
ตอบ: ฉันได้บอกให้เธอทราบในเทปม้วนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ท่านมีชื่อว่าอาจารย์คูดาจี ท่านได้กลับไปสู่พระเจ้าแล้ว พระเยซูไม่เคยกลับชาติมาเกิด และอาจารย์คนอื่นๆ ก็เช่นกัน การกลับชาติมาเกิดนั้นมีสำหรับพวกเราเท่านั้น พวกมนุษย์ พวกคนที่เต็มไปด้วยกรรม เพราะฉะนั้นเธออาจจะพูดว่าพระเยซูได้กลับชาติมาเกิด หรือเธออาจจะพูดว่าพระเยซูไม่ได้ กลับชาติมาเกิดก็ได้ ไม่ใช่เป็นพระเยซูที่กลับชาติมาเกิด มันเป็นพลังพระคริสต์ซึ่งกลับมา พลังพระคริสต์ซึ่งลงมายังบุคคลต่างๆกันด้วยพระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อจะช่วยมวลมนุษย์ เพราะฉะนั้นเธออาจจะพูดได้ว่า “ใช่” เธออาจจะพูดได้ว่า “ไม่ใช่” (เสียงปรบมือ)
ถาม: คำสอนของท่านเกี่ยวข้องกับศาสนาโดยทั่วไปอย่างไร? คำสอนของท่านช่วยเสริมความศรัทธาของเราในศาสนาของเราเองหรือไม่?
ตอบ: ใช่ มันช่วยเสริม เธอก็รู้อยู่แล้ว ฉันทำให้เธอเข้าใจศาสนาของเธอได้ดีขึ้นลึกซึ้งขึ้น และถ้าตัวเธอเองได้รู้แจ้งเธอก็จะกลายเป็นศาสนา เธอจะกลายเป็นสัจธรรม เธอจะสามารถเขียนคัมภีร์ไบเบิลอีกเล่มหนึ่งได้ แต่เธอไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นมีไบเบิลเล่มเดียวก็พอแล้ว เธอเพียงแค่พิสูจน์มัน เธอเพียงแค่เข้าใจมันสิ่งนั้นก็นับว่าดีแล้ว
ถาม: ท่านจะบอกให้เราทราบในเรื่องความฝันของเราได้ไหม?
ตอบ: ความฝันมีหลายชนิด บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี บางครั้งความฝันก็กลายเป็นจริงขึ้นมา บางครั้งความฝันก็เป็นเพียงชิ้นส่วนของการเก็บสะสมข้อมูลต่างๆกันประจำวัน มันจึงเป็นเหมือนกับสลัดผักรวม บางครั้งความฝันก็เป็นการบอกให้รู้อนาคตหรือทบทวนเรื่องราวในอดีตหรือเป็นความปรารถนาที่ลึกที่สุดของเธอ นั่นเป็นความฝันที่มีทัศนวิสัยที่เหนือมนุษย์ซึ่งเป็นนิมิตชนิดหนึ่ง ผู้บำเพ็ญกวนอิมจำนวนมากหรือคนที่นั่งสมาธิมีความฝันชนิดนี้เหมือนนิมิต พวกเขาฝัน แต่ฝันนั้นแจ่มชัดในเรื่องสีสัน แสง ความแจ่มจรัสและสุกสว่างมาก มันไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปมันเป็นนิมิต พวกเขาไปสวรรค์และอะไรแบบนั้น เมื่อเธอนั่งสมาธิและไปสวรรค์มันเกือบจะเหมือนเป็นความฝัน ยกเว้นเมื่อเธอตื่นขึ้นมาแล้วเธอจะรู้สึกตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นดีใจมาก มีพลังมาก เต็มไปด้วยชีวิตและความรัก จนเธอไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับตัวเธอ เธออยากจะกอดทุกคนและจูบพวกเขาแต่อย่าไปทำแบบนั้น (เสียงหัวเราะ) คนจะคิดว่าเธอสติไม่ดี
ถาม: สัตว์และพืชมีพระเจ้าของพวกมันไหม?
ตอบ: เรามีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น (เสียงหัวเราะ) พระเจ้าองค์เดียวกัน พระเจ้าองค์เดียวสำหรับทุกคน พระเยซูได้พูดว่าจงมองดูดอกลิลลี่ในท้องทุ่ง พระบิดาได้ดูแลพวกมันอย่างไร [Mtt 6:28] เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน (เสียงหัวเราะ) เธออ่านคัมภีร์ไบเบิล แต่เธอกลับมาถามคำถามฉันมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในไบเบิลหมดแล้วไม่ใช่หรอกหรือ?
ถาม: ฉันจะตัดขาดจากประสบการณ์ในอดีตชาติให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร?
ตอบ: ประสบการณ์ในอดีตชาติ? ฉันได้บอกเธอแล้วไงล่ะ การประทับจิต ในเวลาประทับจิตกรรมที่เก็บสะสมไว้อาจารย์จะลบล้างออกไป ดังนั้นเธอจึงไม่มีกรรมในอดีตอีกต่อไปแต่ก็ยินดีถ้าเธอจะไปเก็บเอากรรมบางอย่างมาถ้าเธอต้องการ (ท่านอาจารย์หัวเราะ) ถ้าเธอต้องการกลับมายังชาตินี้ ก็ขอยินดีต้อนรับ
ถาม: โปรดกรุณาชี้แจงว่าท่านหมายความว่าอย่างไรเมื่อท่านพูดว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า และเราทั้งหมดต่างก็เป็นพระเจ้า ท่านหมายความว่าการบูชาพระเจ้านั้นไม่มีความจำเป็นเนื่องจากเราก็เป็นพระเจ้าอยู่แล้วใช่ไหม?
ตอบ: ไม่ใช่ มันมีความจำเป็น เราบูชาพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำหลังจากที่เราได้รู้จักว่าใครคือพระเจ้า ท่านเป็นผู้ที่มีความรักอย่างไรและท่านอยู่ใกล้เราอย่างไร ใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าเพื่อนที่เป็นที่รักยิ่งในโลกนี้ ใกล้เสียยิ่งกว่าผิวหนังของเราเอง ในเวลานั้นเธอบูชาพระเจ้าจริงๆ บูชาด้วยความหมายที่แท้จริงมากกว่า ในขณะนี้เราเพียงแต่สั่งพระเจ้า “โอ ได้โปรดให้เงินฉัน ได้โปรดให้ภรรยาแก่ฉัน ได้โปรดให้งานฉัน ได้โปรดๆๆ…” เราไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ เราคือพระเจ้า แต่เรายังไม่เป็นพระเจ้า เพราะฉะนั้นขอให้รู้จักพระเจ้าก่อน แล้วจึงค่อยมาถามคำถามฉันในภายหลัง หลังจากที่เธอรู้จักพระองค์แล้วเธอก็มาบอกฉัน
ถาม: ความรักของมนุษย์มีบทบาทในการรู้แจ้งของเราอย่างไร?
ตอบ: ความรักของมนุษย์? เป็นการดีที่จะถูกรักไม่ว่าจะโดยมนุษย์หรือโดยสัตว์ ทุกครั้งที่เราถูกรักไม่สำคัญว่าใครรักเรา อะไรที่รักเรานั่นก็คือพระเจ้าที่รักเรา มันไม่ใช่เป็นความรักของมนุษย์ มันไม่ใช่เป็นความรักของมารดา มันไม่ใช่เป็นความรักฉันท์พี่น้อง อันที่จริงแล้วทั้งหมดต่างก็เป็นความรักของพระเจ้า ไม่ว่าจะแบ่งแยก ถูกทำให้ลดน้อยลงหรือปรับเปลี่ยน ทุกคนที่รักเรานั่นก็คือพระเจ้าที่รักเรา ดังนั้นจึงไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรมีแต่ช่วยเหลือเท่านั้น เมื่อใครบางคนรักเรา เมื่อคน 2 คนรักกันและกัน รู้แจ้งด้วยกัน ก็จะเป็นประโยชน์มากนับว่าดีมาก
ถาม: ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ? ปัญหาของมันคืออะไร?
ตอบ: โธ่ ฉันไม่ใช่เป็นนักวิทยาศาสตร์ เธอหมายความว่าเรามาจากลิงและอะไรพรรค์นั้นใช่ไหม? (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เราทั้งหมดต่างก็มาจากพระเจ้า อาจจะมีความเกี่ยวโยงบางอย่างระหว่างมนุษย์และสัตว์ เพราะบางครั้งมนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่ร่วมกัน บางครั้งพวกเขาก็เลี้ยงดูซึ่งกันและกันด้วยความบังเอิญ ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ แต่มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความแตกต่างมาก เราไม่ได้วิวัฒนาการเราถูกสร้างให้เป็นเหมือนพระเจ้าทั้งหมดก็มีเท่านั้น พระเจ้าก็สร้างสัตว์ด้วยเช่นกัน พระองค์ได้กล่าวไว้ในบทแรกไม่ใช่หรอกหรือ? ในคัมภีร์เก่าหน้า 1 ได้กล่าวไว้ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์และผลไม้ สมุนไพรทั้งหลาย พระองค์ได้กล่าวถึงการเป็นมังสวิรัติอยู่หลายแห่ง พระองค์กล่าวว่า ฉันได้สร้างผลไม้และสมุนไพร ทั้งหลายในท้องทุ่ง ซึ่งเป็นที่น่ายินดีต่อสายตาและมีรสอร่อย ทั้งหลายนี้จะเป็นอาหารของเธอ พระองค์ยังได้กล่าวว่าสำหรับสัตว์ทั้งหลาย ฉันได้สร้างอาหารสำหรับสัตว์แต่ละชนิดด้วยเช่นกัน พระองค์ไม่ได้กล่าวว่าเราวิวัฒนาการมาจากสัตว์ พระ องค์กล่าวว่าเราคือผู้ปกครองของอาณาจักรสัตว์ เราคือกษัตริย์ของพวกมัน ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องสับสนในเรื่องวิวัฒนาการ เราเป็นมนุษย์ สัตว์ก็มาจากพระเจ้าด้วยเหมือนกันแต่พวกมันไม่ใช่มนุษย์
ถาม: เพื่อบรรลุการรู้แจ้งที่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถทำได้ในชาติเดียว เป็นไปได้ไหมที่จะทำโดยไม่ไปต้องหิมาลัยเหมือนที่ท่านได้ทำ เราจะใช้เวลาน้อยกว่า 7 ปีหรือไม่เนื่องจากท่านเป็นอาจารย์ที่สมบูรณ์พร้อมและมีเมตตาเช่นนี้?
ตอบ: เธอไม่จำเป็นต้องไปยังภูเขาหิมาลัย ฉันได้บอกเธอแล้ว มันเป็นกรรมของฉันๆ จะต้องไปที่นั่น กรรมของเธอนั้นดีกว่าเธอนั่งอยู่ที่นี่และรู้แจ้งบนโซฟา (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ) มันอาจจะกินเวลา 7 ปี 7 เดือน สุดแล้วแต่เธอขึ้นอยู่กับชะตากรรมของเธอ ซึ่งนั่นก็คือขึ้นอยู่กับทางเลือกที่เธอได้เลือกด้วยตัวเธอเองก่อนที่เธอจะมาเกิด เรื่องนั้นฉันไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้มีเพียงเธอเท่านั้นที่ทราบ เธอพึงพอใจกับตัวเธอเอง กับทางเลือกที่เธอได้ทำก่อนที่เธอจะมาที่นี่ เพราะฉะ นั้นไม่ต้องรีบเร่ง จะเป็นอย่างไรนั่นก็เป็นทางเลือกของเธอ เธอและพระเจ้าได้ทำข้อตกลงเรียบร้อยแล้วว่าเธอจะใช้เวลา 7 ปี ใช้เวลา 17 ปี 20 ปีหรืออะไรก็ตามแต่ เรามีชีวิตที่เป็นนิรันดรไม่มีปัญหาในเรื่องที่ว่าจะเป็นกี่ปี แต่การรู้แจ้งจะเกิดขึ้นทันทีในเวลาประทับจิต มันเป็นเพียงการรู้แจ้งที่สมบูรณ์ บางครั้งก็แตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับคน ขึ้นอยู่กับความขยันของเธอ ขึ้นอยู่กับว่าเธอรีบร้อนแค่ไหนที่จะกลับบ้าน เธอมีรถยนต์ เธอจะขับเร็ว เธอจะขับช้าก็ได้ อย่ามาถามฉันว่า 7 ปีหรือกี่ปี มันไม่สำคัญอะไร หลังจากที่เธอรู้แจ้งแล้วเธอจะมีความสุขมากขึ้นๆ ทุกๆ วัน เธอไม่สนใจว่าจะเป็นกี่ปี ในตอนนั้นเธอจะไม่คิดถึงเรื่องการรู้แจ้งอีกต่อไปเสียด้วยซ้ำ เพราะเธอรู้จักพระเจ้า เธอรู้จักความสุข เธอสมปรารถนาพึงพอใจ
ถาม: ความชั่วร้ายของโลก หรือกรรมที่เป็นลบสามารถแปร เปลี่ยนเป็นกรรมดีหรือกรรมที่เป็นบวก โดยการที่คนใช้เปลวไฟสีม่วงหรือแสงสีทองแห่งพลังงานของมหาตมะได้หรือไม่?
ตอบ: พลังงานที่เป็นลบ มีความจำเป็นสำหรับเราที่จะทำให้รู้ จักพระเจ้า เราได้เลือกที่จะรู้จักความมืดเพื่อทำให้เรารู้จักแสงสว่าง วิธีนั้นเราสามารถพูดได้ว่าเราเปลี่ยนสิ่งที่เป็นลบให้เป็นบวก มิฉะนั้นแล้วสิ่งที่เป็นลบก็คือสิ่งที่เป็นลบ สิ่งที่เป็นบวกก็คือสิ่งที่เป็นบวก ไม่มีทางเลยที่เธอจะพูดว่าความมืดคือแสงสว่าง แต่ความมืดมีเพื่อช่วยให้แสงมีความสว่างในความมืดเพื่อเธอจะได้รู้จักมัน ฉันเดาว่าสิ่งที่เขาหมายถึงก็คือถ้าเธอนั่งสมาธิแล้วเธอได้เห็นแสง เธอสามารถทำให้พลังที่เป็นลบเป็นกลางได้หรือเปล่า แน่นอน นั่นก็คืออย่างที่มันเป็น เมื่อแสงมา ความมืดก็จะหายไป ไม่ว่ามันจะเป็นเปลวไฟสีม่วงหรือเปลวไฟสีทอง ขึ้นอยู่กับระดับของจิตสำนึก แสงสีม่วงเป็นแสงในระดับที่ต่ำกว่า แสงสีทองนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่า เธอจะรู้จักมันในภายหลังเมื่อเธอนั่งสมาธิ
ถาม: ท่านได้เดินทางไปเหนือสวรรค์และแสงหรือเปล่า ถ้าใช่ ที่นั่นเป็นอย่างไร? (ท่านอาจารย์และทุกคนหัวเราะ)
ตอบ: เธอต้องการชิมช็อกโกแลตของฉัน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) เพราะฉันเป็นคนที่กินมัน แต่ฉันมีช็อกโกแลตอีกชิ้นหนึ่ง และฉันยินดีให้เธอลองชิมดู ฉันสามารถบอกเธอได้ว่ามันหวาน มันเป็นก้อนมันชุ่มฉ่ำ แต่เธอก็เพียงแต่ได้ยินคำพูดเธอไม่เข้าใจ เธอจะต้องกินมัน กินช็อกโกแลต รับการประทับจิตนั่งสมาธิแล้วเธอก็จะรู้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรเลยที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเราที่เป็นมนุษย์

การรู้แจ้งคือกุญแจสู่ทุกสิ่ง


ถาม: อะไรคือวิธีการที่ได้ผลที่สุดที่จะขจัดนิสัยที่เลวๆ จากชี วิตของคนคนหนึ่ง เมื่อพวกเขารู้สึกเสมือนเป็นโซ่รอบเท้าและมือของฉัน?
ตอบ: มันยาก แต่ถ้าเรารู้แจ้งสิ่งต่างๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด นั่นคือวิธีการที่นักบุญถูกสร้างขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จึงมีกล่าวไว้ในวัฒนธรรมของเธอว่านักบุญทั้งหลายมีอดีต และคนบาปทั้งหลายมีอนาคต ขอให้เชื่อในพระเจ้า ยอมรับพระกรุณาของพระเจ้าด้วยการบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง โดยการผ่านแสงแห่งการชี้นำภายในตัวเธอ โดยผ่านพระเจ้าในตัวเธอ ทุกอย่างเป็นไปได้ เธอสามารถแม้กระทั่งยกระดับตัวเธอจากความตายมาสู่ชีวิต เธอสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บของเธอเอง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนิสัย โรคที่ถึงตายด้วยซ้ำ ทุกอย่างเป็นไปได้ในแสงของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ฉันจึงมาบอกข่าวดีให้เธอทราบ ข่าวที่ดีมาก
ถาม: ถ้าหากเธอเป็นบุตรบุญธรรม ครอบครัวที่เป็นสายเลือดหรือที่รับเลี้ยงดูเธอ ทางสายไหนที่ได้รับการช่วยเหลือ?
ตอบ: ทางสายเลือดแต่ที่รับเลี้ยงดูก็ด้วยเช่นกัน เพราะฉันได้บอกเธอแล้วแม้กระทั่งหมา แมวของเธอก็ยังได้รับประโยชน์ เธอจะเห็นได้ในเรื่องนี้ ฉันไม่ได้ล้อเล่น เธอจะเห็นว่าหมาของเธอแมวของเธอรู้แจ้ง พวกมันจะเปลี่ยนแปลงไป มันจะนั่งใกล้ๆ เธอมันจะนั่งสมาธิกับเธอ (เสียงหัวเราะ) ใช่ มันจะกลายเป็นแมวนักบุญ มันจะกลายเป็นมังสวิรัติเสียด้วยซ้ำ (เสียงหัวเราะ) (เสียงปรบมือ) ใช่ อ่านธรรมสารของเราสิ มีเรื่องจริงมากมายในนั้น ทุกอย่างที่เธออ่านในนั้นเป็นความจริง วิญญาณทั้งหลายยังคงมีชีวิตอยู่ เธอได้พบนักบุญสมัยใหม่ในหน้าหนัง สือเหล่านั้น แม้กระทั่งแมวและหมาก็น่ารักมาก ธรรมวิถีกวนอิม! แม้กระทั่งเพื่อนและคู่รักของเธอซึ่งไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดก็ยังได้รับประโยชน์จากการบำเพ็ญของเธอ จากแสงของเธอ เพราะพระพรของพระเจ้านั้นมีความกรุณาปรานีมาก เราไม่สามารถจินตนาการได้ มันเหลือเชื่อ!
ถาม: ถ้าเธอได้รับการประทับจิต นั่นหมายความว่าเธอไม่สามารถฆ่าแมลง หนูและอื่นๆ ที่เข้ามาในบ้านของเธอใช่ไหม? แล้วเรื่องการดึงวัชพืชล่ะ? (เสียงหัวเราะ)
ตอบ: ในบางกรณีพวกปลวกจะย้ายออกไป ถ้าหากเธอรักษาบ้านของเธอให้สะอาดถูกสุขอนามัย เธอก็ไม่ต้องฆ่าพวกมัน การดึงวัชพืชนั้นทำได้ ขอเพียงท่องชื่อของพระเจ้าและทำตามที่เธอต้องทำ เธอไม่ได้ฆ่าด้วยความรุนแรง เธอไม่ได้ฆ่าด้วยความเกลียดชัง แต่เธอต้องปกป้องสุขภาพของเธอและสมาชิกในครอบครัวของเธอ ถ้าหากมันจำเป็นจริงๆ มิฉะนั้นแล้วในหลายกรณี เมื่อผู้ประทับจิตของเรานั่งสมาธิ แมลงที่เป็นภัยทั้งหลายก็จะหายไป พวกแมลงและอะไรแบบนั้นจะไม่เข้ามาใกล้ มันสะดวกมากและประหยัดดีทุกอย่างจะไปจากเรา
ถาม: ท่านคิดว่าการหย่าร้างนั้นเป็นอย่างไร?
ตอบ: ไม่ดี การหย่าร้างเป็นหนทางสุดท้ายของความสัมพันธ์ในด้านความรัก และมันไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลย แต่มันยากมากที่จะแก้ไข เนื่องจากผู้ชายและผู้หญิงนั้นแตกต่างกันมาก ผู้ชายนั้นเยือกเย็นกว่า ตรงไปตรงมา เรียบง่าย ผู้หญิงมีความอ่อนไหวในอารมณ์ มีความโรแมนติกมากกว่า เพราะฉะนั้นคนที่เป็นเหมือนนักรบและนางงามจึงมักจะไม่สามารถเข้ากันได้ดี แต่มีหลายวิธีที่จะประนีประนอมซึ่งกันและกัน มีการให้คำปรึกษาทางด้านการสมรส มีหนังสือในเรื่องนี้ และแน่นอนมีการนั่งสมาธิซึ่งจะประนีประนอมความแตกต่างมากมาย เธอจะเห็นว่าเธอทั้ง 2 ได้เปลี่ยนแปลงไป – มีความรักมากขึ้น มีความเข้าใจมากขึ้น และมีความเรียกร้องน้อยลง ถ้าเธอทั้ง 2 อยู่ในระดับที่เกือบคล้ายคลึงกัน มิฉะนั้นแล้วเธอก็จะยังคงมีความขัดแย้งอยู่ แต่เธอยังคงรักซึ่งกันและกัน เธอจะไม่ใช้การหย่าร้างเข้าจัดการแก้ปัญหามากเท่ากับคนอื่นที่ไม่ได้บำเพ็ญความสงบสุขภายใน พวกเขาจะหย่าร้างกันมากกว่า
ฉันจะไม่หย่าจากสามีของฉัน ถ้าตอนนั้นฉันได้รู้แจ้ง ฉันขอบอกให้เธอทราบว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุด และเขาก็ยังคงเป็นอยู่ แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดของคนอื่นไปแล้ว (ท่านอาจารย์ใช้มือแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์นั้นได้จบสิ้นลงไปแล้ว) หลังจากที่รู้แจ้งแล้ว เธอจะเรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าในตัวคู่ของเธอมากขึ้น ความขัดแย้งในครอบครัวมากมายได้ถูกลบล้างออกไปหลังจากประทับจิต ถ้าหากสามีและภรรยานั่งสมาธิด้วยกัน มันช่วยได้จริงๆ เพราะเธอตระหนักว่าเธอทั้ง 2 เป็นพระเจ้า ความรักในตัวเธอจะเกิดขึ้น จะแผ่ขยายเพื่อครอบคลุมความแตกต่างทั้งหลายระหว่างผู้ชายและผู้หญิง เธอจะเรียนรู้ที่จะรักซึ่งกันและกัน เคารพซึ่งกันและกันในฐานะที่เป็นพระเจ้า นอกเหนือจากความรักทางด้านวัตถุ ก็ยังมีความรักอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจะผูกมัดเธอทั้ง 2 เข้าด้วยกัน ทำให้เธอมีความรักมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และมีความรู้สึกไวมากขึ้นต่อความรู้สึกและความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง
ถาม: จะเกิดปัญหาอะไรเมื่อคนคนหนึ่งมีกุญแจสู่การรู้แจ้งแต่ไม่ได้เปลี่ยนให้เป็นจิตสำนึกของพระเจ้า?
ตอบ: ในกรณีนั้นเธออาจจะลองดูอีกครั้งในภายหลังเมื่อเวลาของเธอมาถึง ทุกคนมีเวลาของเขา ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบร้อน เรามีเวลาตลอดกาล
ถาม: เป็นความจริงหรือไม่ที่ว่าเหนือระดับที่ 2 จะไม่มีกรรมอีกต่อไป? ถ้ากรรมทำให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ หากเราไม่มีกรรมอีกต่อไป เราจะยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไหม?
ตอบ: ไม่มีกรรมหมายความว่าหลังจากโลกที่ 3 ไปแล้ว เมื่อเธอมาถึงระดับที่ “ไร้กรรม” เธอจะไม่ก่อกรรมอีก แต่กรรมในปัจจุบันซึ่งทำให้เธอมีชีวิตอยู่ในชาตินี้จะยังคงมีอยู่ต่อไปจนกระ ทั่งเวลาของเธอหมดลง และเมื่อไรก็ตามที่เวลาของเธอหมดลง นั่นหมายความว่ากรรมได้หมดไปเธอไม่ต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่เมื่อเธอไปถึงระดับที่ 3 นั่นหมายความว่าบุคคลประเภทที่เธอเป็น สภาพจิตใจของเธอจะไม่ปล่อยให้เธอสร้างกรรมอีกต่อไป เธอจะทำทุกอย่างอย่างมีคุณธรรมโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ได้หมาย ความว่าเธอตายในทันทีเพราะกรรมปัจจุบันยังคงมีอยู่ กรรมที่ได้ลิขิตเอาไว้สำหรับชาตินี้ว่า เธอจะต้องก้าวย่างกี่ก้าว เธอจะต้องสูดลมหายใจเข้าไปเท่าไร เธอจะต้องกินอาหารเท่าไร เธอจะมีชีวิตอยู่กี่วัน ทั้งหมดนี้ได้ถูกเขียนเอาไว้แล้ว เราไม่ได้ลบล้างกรรมเหล่านั้น เราสามารถทำได้ ถ้าหากเราต้องการ แต่ทำไมล่ะ? เพียงแค่มีชีวิตอยู่มากขึ้นอีก 2-3 ปีหรือมากขึ้นอีก 2-3 วัน จะต้องรีบร้อนไปทำไมกัน? ถึงอย่างไรมันก็เป็นครั้งสุดท้ายอยู่ดี

อาจารย์มีแต่ให้ ไม่เคยรับ
ถาม: ท่านอาจารย์ที่เคารพ ฉันต้องการบำเพ็ญและสอนการทำสมาธิ แต่ฉันก็มีสิ่งของที่เป็นวัตถุมากมายด้วยเช่นกัน ฉันจะทำได้อย่างไร? ฉันไม่ต้องการทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยงานอื่นที่นอกเหนือจากการสอนทำสมาธิ ได้โปรดแนะนำ
ตอบ: คนนั้นคือใคร? คือเธอ ตอนนี้เธอกำลังสอนอยู่หรือเปล่า? และเธอหาเงินจากการสอนนั้นใช่ไหม?
ถาม: ใช่ แต่ไม่พอ
ตอบ: ไม่พอ งั้นจะทำอะไร? เธอจะต้องคบคนให้กว้างขึ้น เธอมาถามคนผิดแล้วล่ะ ฉันไม่รับเงิน
ถาม: ท่านหาเลี้ยงชีพอย่างไร?
ตอบ: ฉันหาเงินด้วยการออกแบบเสื้อผ้า ฉันวาดรูป ฉันทำ… ไม่รู้สิ ฉันทำอะไรอื่นอีกนะ? – อัญมณี ฉันทำหลายสิ่งหลายอย่าง
ถาม: ตกลงท่านแนะนำให้ฉันทำงานอย่างอื่นที่นอกเหนือจากการสอนนั่งสมาธิเพื่อยังชีพใช่ไหม?
ตอบ: ฉันจะแนะนำเช่นนั้น ฉันคิดว่ามันเป็นการสูงส่งกว่าถ้าเราสอนวิถีทางแห่งพระเจ้าโดยไม่คิดเงิน เพราะมันมีอยู่แล้วโดยธรรมชาติในตัวเราแต่ละคน ถ้าเราสามารถทำได้เราไม่ควรหาเงินจากสิ่งนั้น แต่ถ้าเธอมีความจำเป็นในเรื่องเงินทองแล้วคนบริจาคให้เธอก็นับว่าโอเค รับมันในฐานะที่เป็นของขวัญจากพระเจ้า แต่ตัวฉันเองไม่ได้เรียกร้องเงินทองใดๆ ฉันกลัวมากที่จะรับเงินจากคน ฉันเพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้ว และไม่ว่าอาจารย์ท่านใดๆนับตั้งแต่โบราณกาลก็ไม่ได้รับอนุญาตให้รับเงินทอง เธอควรที่จะให้ ไม่ใช่รับ แต่ฉันเดาเอาว่าสำหรับครูธรรมดาๆ ที่สอนวิธีการนั่งสมาธิที่แตกต่างออกไปคงจะไม่มีอันตรายอะไร แต่การเป็นอาจารย์ฉันคิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่รับอะไร พระพุทธเจ้ารับอาหารวันละมื้อเท่านั้นเพราะพระองค์ไม่ได้ทำงาน นั่นคือน้อยที่สุดที่พระองค์สามารถรับได้ แต่พระองค์ก็จำเป็นที่จะต้องทำ ในเวลานั้นพระองค์ไม่มีหนทางที่จะเดินไปทั่วและหาเงินในเวลาเดียวกัน นอกจากนั้นพระองค์ก็เป็นนักบวช และธรรมเนียมของนักบวชก็คือการบิณฑบาตอาหาร ผู้คนจะเคารพเธอในลักษณะนั้น
ในสมัยใหม่ถ้าหากเธอไปขออาหารตำรวจก็จะขอร้องให้เธอไปเข้าคุก ดังนั้นฉันจึงทำเช่นนั้นไม่ได้ ไม่ใช่ว่าฉันนิยมวัตถุ การออกแบบเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไม่ใช่เป็นมุมมองทางด้านวัตถุนิยม มันเหมาะสมในทางปฏิบัติ เรามีชีวิตอยู่ในยุคสมัยใหม่เราจะต้องแต่งตัวงดงามพอที่จะรับแขกได้ เพราะคนสมัยใหม่ไม่ยอมรับภาพพจน์ที่เป็นขอทานอีกต่อไป เธอจะไปขอทานตามท้องถนนไม่ได้ คนจะคิดเอาว่าเธอเป็นคนไร้บ้าน ข้อแรกพวกเขาจะไม่นับถือเธอ แล้วอย่างนี้เธอจะไปสอนพวกเขาได้อย่างไรกัน? เธอจะต้องดูงดงามเหมือนคนอื่นๆ ฉันเคยเป็นนักบวช แต่ในตอนนั้นฉันก็หาเงินด้วยเหมือนกัน ฉันรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องที่จะรับเงินจากคน ฉันหาเงินจากหลายสิ่งหลายอย่าง ฉันปลูกผัก ฉันถักไหมพรมในตอนนั้น เพราะฉันอยู่ตัวคนเดียวฉันจึงไม่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากมายนัก และฉันก็กินอาหารวันละมื้อด้วย เพราะฉะนั้นการหาเงินได้เล็กน้อยจึงพอเพียง
แต่ตอนนี้ฉันได้ขยายกว้างออกไป และฉันต้องเดินทางมาก ดังนั้นฉันจึงต้องหาเงินมากขึ้น ฉันคิดหาเทคนิคที่แตกต่างออกไปหลายชนิด อย่างการออกแบบภายใน เช่น โคมไฟแสงสว่าง บางครั้งก็เป็นเครื่องเซรามิค ภาพเขียน การออกแบบเสื้อผ้าและการออกแบบอัญมณี สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันหาเงินได้ มากทั่วโลก ดังนั้นฉันจึงสามารถเดินทางไปทั่วและมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ฉันจ่ายให้กับทุกสตางค์ที่ฉันรับมา แม้กระทั่งถ้าผู้ประทับจิตให้ฉันยืมรถ ฉันก็จะจ่ายค่าน้ำมันด้วย ฉันไม่รับมัน ฉันไม่ต้องการทำเช่นนั้น ฉันรู้สึกว่าฉันควรจ่ายค่าใช้จ่ายของฉัน เพราะฉันสามารถทำได้ แม้กระทั่งถ้าลูกศิษย์ของฉันให้อะไรฉันบางอย่างฉันก็จะไม่รับ เว้นเสียแต่ว่าฉันไม่รู้จริงๆ ถ้าฉันรู้ฉันก็จะไม่รับ ฉันจะคืนมันไปฉันจะให้กลับเป็นเงินหรือคืนเป็นสิ่งอื่น แบบนั้นเธอจะรู้สึกสบายใจกว่า แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าคนมอบให้เธอ และเธอไม่มีหนทางอื่น และเธอมีงานยุ่งเกินไปในการสอนเพื่อหาเลี้ยงชีพ ถ้างั้นเธอก็รับมันไว้ รับพอเพียงสำหรับตัวเธอ

ถาม: ตกลงท่านก็สามารถทำธุรกิจ และสอนทางด้านจิตวิญ ญาณในขณะเดียวกันใช่ไหม?
ตอบ: ใช่ ตอนนี้มันก็เป็นแบบนั้น ฉันสอนทางด้านจิตวิญ ญาณ แต่ในเวลาว่างฉันก็ออกแบบเสื้อผ้าและอัญมณี คนที่ช่วยฉันจำหน่าย คนที่ช่วยฉันตัดเย็บเสื้อผ้าและอะไรแบบนั้น พวกเขาก็ได้รับเงินด้วยเหมือนกัน บางครั้งเราก็มีภัตตาคารเล็กๆที่ตรงนี้และตรงนั้น เราก็ได้เงินมาจากแหล่งนั้นด้วยเช่นกัน ฉันจ่ายเงินให้กับคนที่ทำงานอยู่ในภัตตาคาร ทุกอย่างเป็นธุรกิจจริงๆ
ถาม: โอเค ขอบคุณมาก
ตอบ: ขอให้พระเจ้าอวยพร!
ถาม: ถ้าหากไม่มีกายเนื้อ แล้วทำไมพระเยซูจึงร้องไห้เมื่อจอห์น เดอะแบ๊บทิสท์ เพื่อนที่ดีที่สุดของพระเยซูถูกตัดศีรษะ?
ตอบ: อ้อ พระองค์ควรจะหัวเราะหรือ? อาจารย์ผู้มีเมตตา ผู้เปี่ยมไปด้วยความรัก ผู้เป็นเหมือนพระเจ้าควรที่จะหัวเราะหรือเป็นเหมือนก้อนหิน ไม่มีความรู้สึกต่อเพื่อนที่ดีที่สุด อย่างจอห์น เดอะแบ๊บทิสท์หรือ? เธอคาดหวังว่าพฤติกรรมของพระองค์ควรจะเป็นเช่นไรหรือ? เธอคาดหวังว่าบุคคลผู้รู้แจ้งควรจะเป็นอย่างไรหรือ? เป็นหินหรือ? เพียงเพราะว่าพระองค์ได้รู้แจ้งก็ไม่ได้ทำให้ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายของพระองค์เปลี่ยนแปลงไป น้ำตายังคงไหลออกมาเมื่อถูกอารมณ์กระตุ้นและมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น พระองค์มีความอ่อนโยน มีความเป็นเหมือนสตรี มีความรัก และนั่นก็คือสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งหมด มันได้เกิดขึ้นกับพระองค์ มันได้เกิดขึ้นกับเรา เป็นการดีมากเมื่อเธอร้องไห้เมื่อเพื่อนของเธอตาย มันเป็นธรรมชาติมาก พระองค์เป็นคนที่ปกติมากและรู้แจ้งมาก
ถาม: ดูเหมือนว่าหนทางทั้งหมดของฉันกำลังถูกขวางกั้นไว้ ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของฉันได้ ประ สบการณ์ในอดีตของฉันได้เผยให้เห็นว่า ทุกครั้งที่ฉันก้าวหนึ่งก้าวไปยังเป้าหมายของฉัน ก็จะมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงฉันให้ถอยหลังและห่างออกมา ฉันควรจะทำอย่างไรเพื่อทำให้หนทางของฉันราบรื่น?
ตอบ: เขากำลังพูดถึงหนทางอะไรของฉัน? เพื่อประโยชน์ของคนนั้นคือใคร? (พิธีกร: คนที่ถาม ขอให้คุณยกมือได้ไหม?)
ถาม: (มีคนยกมือ) ฉันไม่ได้เขียนคำถามนี้ แต่มันใช้ได้สำหรับฉัน ฉันคิดว่าเราพบอุปสรรคอยู่เสมอในชีวิตซึ่งน่ากลัดกลุ้มมาก ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป
ตอบ: โอเค ฉันเข้าใจแล้วละ มันหมายถึงในธุรกิจและในความสัมพันธ์ คำตอบเดียวเท่านั้นก็คือการรู้แจ้ง ฉันไม่มีคำตอบอื่นใด การรู้แจ้งจะชี้นำเธอ จะให้คำตอบแก่เธอ จะให้ความแข็งแกร่งเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง หรือเพื่อเอาชนะความยากลำบาก รวมทั้งเพิกเฉยความกังวลที่ไม่จำเป็นในปัญหาต่างๆ กัน เธอจะแก้ปัญหาได้รวดเร็วขึ้น ไม่มีสิ่งอื่นใดสำหรับเราที่จะทำในชีวิตยกเว้นรู้แจ้งก่อน แล้วสิ่งอื่นๆ ก็จะตามมา ด้วยเหตุนี้ ไบเบิลจึงได้กล่าวไว้ว่า ค้นหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อน นั่นหมายความว่าให้รู้แจ้งแล้วทุกสิ่งอื่นๆ ก็จะมาหาเธอ ใช่ เป็นความจริง ตอนนี้ฉันหาเงินได้มากกว่าตอนที่ฉันยังไม่รู้แจ้ง เมื่อจำเป็น พระเจ้าก็จะแสดงหนทางให้กับเธอ แม้ กระทั่งทางด้านวัตถุ ฉันไม่ได้รู้แจ้งเพื่อที่จะหาเงินเพียงแต่ว่ามันได้เกิดขึ้น เพียงแต่ว่ามันได้เกิดขึ้นที่ทุกสิ่งอื่นๆ ราบรื่นมากโดยที่ไม่ได้ร้องขอ และนั่นเป็นความจริง
ถาม: ฉันจะมีชีวิตที่รู้แจ้งได้อย่างไร?
ตอบ: มีชีวิตอยู่เหมือนอย่างที่เธอเคยมีมาก่อน อาศัยอยู่กับภรรยาของเธอ ลูกของเธอ และสามีของเธอ ทำหน้าที่ของเธอต่อไปและสนุกกับชีวิตของเธอในขณะที่สนุกกับสวรรค์ ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงยกเว้นความรู้ภายใน ความสุข
ถาม: ท่านมีเหตุผลอะไรที่ไม่เชื่อในเรื่องการรักษาผู้อื่น?
ตอบ: เหตุผลที่ฉันไม่เชื่อก็คือพวกเขาควรเรียนรู้ที่จะรักษาตัวของเขาเอง เราไม่ควรจะเล่นบทเป็นพระเจ้า นั่นคือเหตุผล เรายืนระหว่างพระเจ้าและคนป่วยคนนั้น แต่ละคนมีพลังที่จะรักษาตัวของเขาเอง พระองค์ได้ให้ความเจ็บป่วยแก่คนไข้ในลักษณะที่เป็นพระพรที่แฝงมาเพื่อว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า เมื่อบุคคลคนนั้นมีความจริงใจมากพระเจ้าก็จะปรากฏให้เขาเห็น มิฉะนั้นแล้วเราก็มีการรักษาทางร่างกาย และการให้ยาซึ่งควรที่จะใช้เพื่อดูแลสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัตถุและไม่แนะนำให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับร่างกายที่เป็นจิตวิญญาณและพลังรักษาโรคซึ่งอยู่ภายในตัวของคน กรรมนั้นไม่ได้ถูกลบล้างออกไปเพียงแค่การใช้มือแตะ มันจะกลับมาอีกเป็น 10 เท่าในภายหลัง บุคคลนั้นจะทุกข์ทรมานมากกว่าเดิมและจะไม่มีวันได้รู้จักพระเจ้า
ถ้าเธอเพียงแต่เชื่อในคนที่รักษาด้วยพลังจิตและลืมพระเจ้า โดยเฉพาะพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวเธอ เธอก็จะอยู่ในความเดือดร้อนมากกว่าความเจ็บป่วยนั่นคือความเชื่อของฉัน นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้ นั่นคือสิ่งที่ฉันแบ่งปันกับพวกเธอ แต่แน่นอนมันเป็นความเห็นและความรู้ของฉัน ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นของเธอ มันไม่จำเป็นว่าจะต้องได้รับการยอมรับจากเธอ เพียงแต่ว่าเธอมาถามฉันฉันจึงต้องบอกเธอในสิ่งที่ฉันรู้ แต่ฉันไม่ได้ประณามการรักษาหรืออะไรแบบนั้น ถ้าหากเธอต้องการขึ้นไปให้สูงกว่าเธอก็จะต้องหยุดทำในเรื่องนั้น เหมือนอย่างเธอต้องการเรียนเป็นหมอเธอจะต้องเรียนเป็นหมอต่อไป เธอห้ามหยุดกลางคันและกลายเป็นนางพยาบาลและหวังที่จะเป็นหมอใน ขณะเดียว กัน มันเป็นไปไม่ได้ (เสียงปรบมือ)

ถาม: ท่านอาจารย์ ทำไมจึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการชี้นำโดยผ่านการทำสมาธิ?
ตอบ: ไม่มีหนทางอื่นใด การทำสมาธิเป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้น อันที่จริงแล้วมันเป็นการติดต่อภายในกับพลังของพระเจ้า ก็เหมือนกับว่าทำไมจึงต้องกินอาหารวันละ 3 มื้อเพื่อให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้ก็เพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเธอ เราจำเป็นที่จะต้องนั่งสมาธิ เราจะต้องได้รับการอัดประจุพลังโดยพลังของพระเจ้าอีกครั้งเพื่อที่จะเป็นอิสระจากโซ่ตรวนของโลกทางวัตถุ เพื่อที่จะเป็นพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะเป็นนายของตัวเรา
ถาม: ขอบคุณที่ท่านสละเวลาให้กับพวกเรา
ตอบ: ขอบคุณ (เสียงปรบมือ) ขอบคุณมากที่ท่านตั้งใจฟัง ขอบคุณในความสนับสนุน บรรยากาศที่รู้แจ้ง รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักของท่านและทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก และฉันจะไปพบเธอในห้องประทับจิต (เสียงปรบมือ) สำหรับผู้ที่ไม่รับการประทับจิตในคืนนี้ หรือจะพิจารณาในภายหลัง ขอให้กลับไปบ้านและสวด สวดอธิษฐานถึงพระเจ้า อย่าลืมนะ ขอให้อธิษฐานตลอดเวลา อธิษฐานไม่ว่าเวลาใดที่เธอสามารถทำได้ อธิษฐานด้วยหัวใจของเธอจนกระ ทั่งถึงวันที่เธอได้รู้แจ้ง ฉันจะพบเธอที่นั่น (ท่านอาจารย์ชี้ขึ้นไปข้างบน) (เสียงปรบมือ)